Flash Creativity: ทำไมไอเดียมักปิ๊งตอนอาบน้ำ

Flash Creativity: ทำไมไอเดียมักปิ๊งตอนอาบน้ำ

เคยเป็นไหม? เหนื่อยมาทั้งวันแล้วตกเย็นเข้าไปอาบน้ำให้สดชื่น ร้องเพลงอย่างผ่อนคลาย แล้วจู่ๆ ก็…”ปิ๊งไอเดีย” ขึ้นมาในหัว! 

แถมมักเป็นไอเดียแสนครีเอทีฟ หรือเป็นทางออกของปัญหาสุดเรื้อรัง

เกิด “ยูเรก้า!” ชนิดที่ไม่มีทาง “คิดออก” ช่วงตอนปกติระหว่างวันแน่นอน!

  • จากผลวิจัยยังพบว่ากว่า 72% ของผู้ถูกสำรวจ ปิ๊งไอเดียสุดบรรเจิดขณะ “อาบน้ำ”

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ทำไม Flash Creativity หรือไอเดียบรรเจิดที่แว่บเข้ามา ถึงมักเกิดขึ้นตอนเราอาบน้ำ? และทำไมไอเดียมักจางหายไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่รีบจดก็บอกลาไอเดียนั้นได้เลย

คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ แล้วเราจะทำยังไงให้เกิด Flash (Super) Creativity บ่อยๆ ได้? 

ทำไมไอเดียมักเกิดตอนอาบน้ำ?

ผลวิจัยมากมายเปิดเผยว่า ช่วงเวลาที่มนุษย์อยู่ใน “ภาวะสงบ” (Monotonous) ไม่ได้ใช้ความคิด เช่น เวลาเราอาบน้ำ มักเป็นเวลาที่สมองจะเกิด “ความคิดสร้างสรรค์” (Creativity) มากที่สุด!

เนื่องจากกิจวัตรลักษณะนี้ช่วยให้สมองพักผ่อน ร่างกายผ่อนคลาย สบายเนื้อสบายตัว ที่สำคัญ…จิตใจสงบ

และถ้าเราสังเกต ไอเดียที่เด้งออกระหว่างอาบน้ำ VS. ไอเดียที่เด้งออกระหว่างนั่งทำงานบนโต๊ะออฟฟิศ…จะมีความแตกต่างกันมาก 

ไม่มีแบบไหนดีกว่ากัน เพียงแต่แบบแรกมักค่อนไปทางครีเอทีฟสูงกว่า (แต่ก็ ‘ลืม’ ได้ง่ายกว่าเช่นกันถ้าไม่รีบจดบันทึก)

คุณ Shelley Carson นักวิจัยด้านจิตวิทยาจาก Harvard University กล่าวว่า สมองมีความ “ย้อนแย้ง” อย่างหนึ่ง 

  • เวลาเราโฟกัส สมองฝั่งเหตุผลจะทำงานยอดเยี่ยม ขณะที่ฝั่งครีเอทีฟลดบทบาทลง
  • แต่เวลาเราล่องลอย สมองฝั่งเหตุผลจะลดบทบาทลง ขณะที่ฝั่งครีเอทีฟกลับทำงานยอดเยี่ยม!

เธอจึงแนะนำว่า ถ้าตอนนั้นต้องการความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก ให้ทำสิ่งที่เรียกว่า “De-focus” เลิกโฟกัสจดจ่อเรื่องตรงหน้าดูซะ อาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “เพราะไม่ได้คิด…จึงคิดออก” (เคยไหม? บางเรื่องยิ่งคิดเท่าไร…ยิ่งนึกไม่ออก!) 

อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งข้อสงสัย…ผู้ชายอาบน้ำอย่างมากก็ 10-15 นาที คุณผู้หญิงก็อาจ 20-30 นาที (หรือนานกว่านั้นนิดหน่อยถ้าแช่อ่าง)

ยังไงก็ถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นในการเกิดความคิดสร้างสรรค์ คำถามคือ พอจะมีวิธีอื่นไหมในการเพิ่ม Creativity ในชีวิตประจำวัน?

แต่ก่อนที่เราจะไปหาคำตอบกัน ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า 

ความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่พรสวรรค์” นื่คือหนึ่งใน Myth หรือ “มายาคติ” ผิดๆ ของคนส่วนใหญ่ที่มักมองว่า ความคิดสร้างสรรค์อันบรรเจิดเป็นเรื่องของพรสวรรค์เฉพาะในคนบางกลุ่ม…ที่แม้พวกเค้าจะมีพรแสวงแค่ไหน ก็สู้คนกลุ่มนี้ไม่ได้

แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น “คนเรามีความครีเอทีฟกันทุกคน” (ย้ำว่า ‘ทุกคน’ จริงๆ) โดยฝึกได้ง่ายๆ ดังนี้

Connecting the Dots

ผู้ที่ทำให้คำนี้โด่งดังไปทั่วโลกคือ Steve Jobs เจ้าพ่อนวัตกรรมแห่งยุค แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ ยิ่ง Dots แต่ละ Dots มีความ “แตกต่าง” (หลากหลาย) ไม่เหมือนกันมากเท่าไร…ยิ่งมีโอกาสนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์มากเท่านั้น!

ซึ่ง Dots ในที่นี้เป็นได้ทั้ง ข้อมูลความรู้ / ประสบการณ์ / ทรัพยากรในมือที่มี / ความสัมพันธ์กับผุ้อื่น ฯลฯ นั่นหมายความว่า

  • ยิ่งเรามีองค์ความรู้หลากหลายศาสตร์
  • ยิ่งเรามีประสบการณ์อันหลากหลาย
  • ยิ่งเราใช้เครื่องมือหลากหลายรูปแบบ
  • ยิ่งเรารู้จักผู้คนอันหลากหลายมากเท่าไร

…ยิ่งมีโอกาสเกิดความคิดสร้างสรรค์มากเท่านั้น

เพราะแก่นของความคิดสร้างสรรค์คือการ “เชื่อมโยง” (Connect) สิ่งเดิมจนผลิดอกออกผลเกิดเป็นสิ่งใหม่

มาถึงตรงนี้เราจะสังเกตว่า เคล็ดลับที่ทำให้ได้ Dots เพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ คือการลอง “ทำอะไรใหม่ๆ” 

  • อ่านหนังสือหลากหลายแนวที่แต่เดิมคุณมองข้ามมาตลอด
  • เปิดประสบการณ์ด้วยการท่องเที่ยวสถานที่ใหม่ๆ
  • ทดลองใช้เครื่องมือใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย
  • ออกไปพบปะพูดคุยกับผู้คนนอกวงสังคมตัวเอง

ความครีเอทีฟอาจไม่เกิดทันทีทันใด แต่เมื่อคุณสะสม Dots มากเข้า มันย่อมออกดอกออกผลในอนาคตแน่นอน 

ดังที่ Steve Jobs ศึกษาเชิงลึกเรื่อง Typography ศาสตร์การจัดวางและออกแบบตัวอักษรตั้งแต่ครั้งยังหนุ่ม ก่อนจะนำมันมาประยุกต์ใช้ใน iPhone จนกลายเป็นนวัตกรรมแห่งยุคในอีกหลายสิบปีต่อมา

Rest

ลองเอาเคล็ดลับนี้ไปใช้ดู ถ้าคิดให้ตายเท่าไรก็ยังคิดไม่ออก ลองพับงานนั้น ”ค้างทิ้งไว้” ก่อน (Hold on) แล้วไป “พักผ่อน” ซะ 

ซึ่งการพักเป็นได้หลายรูปแบบมากเช่น นั่งพักบนโซฟา / เดินเล่น / เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา / ลงจากออฟฟิศไปซื้อกาแฟ / พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหน้าตู้กดน้ำ

พักในที่นี้ยังหมายถึงการพักผ่อนใหญ่อย่างการ “นอน” ซึ่งร่างกายมนุษย์ถูกออกแบบมาให้นอนวันละ 6-8 ชม. จะเป็นจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสมต่อสมองและร่างกายที่สุด

นอกจากนี้ รู้หรือไม่? การนอนที่มีคุณภาพเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้ เพราะระหว่างที่นอนหลับเส้นใยประสาทนับพันล้านเซลส์จะเชื่อมโยงหากันอย่างเหนียวแน่น (Connecting the Dots นั่นเอง!) 

Little-Big Creativity

คุณ James Kaufman นักจิตวิทยาชาวอเมริกันเผยว่าความคิดสร้างสรรค์แบ่งออกเป็นหลายระดับ (ตามทฤษฎีของเขาคือ “The Four-C Model”) แต่สามารถแบ่งกว้างๆ ได้เป็น Little Creativity และ Big Creativity

  • Little Creativity เป็นความคิดสร้างสรรค์เล็กๆ ในชีวิตประจำวัน (เมนูอาหารใหม่)
  • Big Creativity เป็นความคิดสร้างสรรค์ระดับปฏิวัติวงการ (รถที่ไม่ใช้น้ำมัน)

ประเด็นอยู่ที่ว่า Big Creativity ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ทุกวัน (แม้แต่ในคนเก่งระดับโลก) แต่ Little Creativity สามารถเกิดบ่อยได้ และ Little มักเป็นรากฐานที่นำไปสู่ Big Creativity เสมอ 

ดังนั้นเราจึงควรพุ่งความสำคัญไปที่ Little Creativity เป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่พอทำได้ ก่อนจะขยายสเกลไปสู่ Big(ger) Creativity ในที่สุดนั่นเอง

ขโมยความคิดคนอื่น

ความจริงข้อหนึ่งที่เราทุกคนต้องยอมรับคือ “ไม่มีอะไรที่เป็น Original Idea” เพราะไอเดียที่(ดูเหมือน)ใหม่ ล้วนเกิดจากการ “ต่อยอด” (หรือขโมยมาตรงๆ!)จากสิ่งเดิมๆ ทั้งสิ้น 

นี่เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้ามจนเสียเวลากับการขบคิดอันสูญเปล่า

อย่าพยายามฝืนคิดค้นอะไรจากความ “ว่างเปล่า” แต่ให้เริ่มจากสิ่ง(ที่พิสูจน์ว่าเวิร์ค)ที่มีอยู่เดิมและเชื่อมโยงต่อยอดจนเป็นสิ่งใหม่แทน

.

.

รู้หรือไม่? “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa ก็เป็นไอเดียที่ถูกต่อยอดมาอีกที เพื่อให้คุณค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ และพร้อมมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน! ทดลองทำได้ที่ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

อ้างอิง

https://www.creativelive.com/blog/science-of-creativity/#:~:text=The%20science%20of%20creativity%20is,hinders%20%E2%80%94%20creativity%20in%20the%20brain.