Masterful Presentation: วิธีนำเสนอ สำคัญกว่า เนื้อหาที่พูด

Masterful Presentation: วิธีนำเสนอ สำคัญกว่า เนื้อหาที่พูด
  • Steve Jobs หยิบ MacBook Air ออกมาจากซองจดหมาย
  • หน้าสไลด์ที่มีแค่ 3 หัวข้อเท่านั้น
  • ซูชิคำเล็กๆ ที่ถูกจัดเรียงมาอย่างสวยงาม

นี่คือตัวอย่างของ Masterful Presentation ศิลปะการนำเสนอขั้นเซียนที่สะกดใจผู้คน

ศิลปะสะกดใจคน 

มีคำกล่าวว่า มันไม่สำคัญว่าคุณพูดอะไร แต่…พูดอย่างไร? วิธีการนำเสนอ อาจสำคัญกว่า เนื้อหาที่พูดในหลายบริบท 

หนึ่งในกฎพื้นฐานที่ใช้กันทั่วโลกคือ Rule of Three เวลาเสนออะไรให้ทำไม่เกิน 3 หัวข้อ / 3 ประเด็น / 3 เหตุผล / 3 ทางแก้ไข / 3 ตัวเลข ฯลฯ เพราะสมองมนุษย์จะจดจำได้ดีที่สุดไม่เกิน 3 เรื่องในคราวเดียวกัน ถ้ามากกว่านั้นประสิทธิภาพจะลดลงฮวบฮาบ

กรณีถ้าข้อมูลมีมากกว่านั้น ให้จัดกลุ่มไม่เกิน 3 เรื่อง แล้วค่อยแบ่งทยอยนำเสนอทีละสไลด์

ในหลายกรณี ”อารมณ์” (Emotion) สะกดใจผู้คนได้มากกว่า เมื่อให้ระลึกกลับไปเหตุการณ์ในอดีต ผู้คนมักจดจำความรู้สึกของเหตุการณ์นั้นได้ดีกว่ารายละเอียดของเหตุการณ์ 

วิธีใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้ง่ายๆ เลยคือการใช้ “ภาษากาย” (Body language) มีลีลาการเล่าที่น่าคล้อยตาม 

  • กำมือไปยังผู้ฟัง เมื่อต้องการแสดงการให้กำลังใจ
  • ก้มหน้าลง เมื่อบรรยายความรู้สึกเสียใจ
  • เอามือทาบอก เมื่อบรรยายความรู้สึกเจ็บปวดใจ

โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ฟังที่เป็นผู้หญิง ซึ่งจะให้น้ำหนักความสำคัญไปที่อารมณ์ ความรู้สึก สีหน้าท่าทาง มากกว่าข้อมูลดิบเพียงอย่างเดียว

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังมากๆ ในการนำเสนอคือ หลีกเลี่ยงอย่าให้เกิด “Cognitive Murder” การฆาตกรรมทางความคิด จะเกิดขึ้นเมื่อคนถูกป้อนข้อมูลชุดใหญ่มโหฬารที่ไม่ได้ผ่านการย่อยให้เข้าใจง่าย 

ระบบสมองของคนจะ overload และประหนึ่งหยุดทำงาน หยุดรับรู้ หยุดคิดวิเคราะห์ตามไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งทำให้ช่วงเวลานั้น สิ่งที่ผู้นำเสนอพูด…แทบจะไร้ความหมายไปเลยทีเดียว (สมองไม่รับข้อมูลมาประมวลผลแล้ว)

กรณีศึกษาชั้นเลิศ

ณ งานนิทรรศการอาหารแห่งหนึ่งในยุโรปที่รวบรวมอาหารชั้นนำและสุดยอดเชฟมาไว้ในงาน

มีนักสร้างภาพยนตร์ 2 คนได้ปลอมตัวเข้าไปในงาน ระบุว่าเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่จะมาท้าชน McDonald’s จุดประสงค์เพื่อทดลองว่าเชฟเหล่านี้…แยกแยะรสชาติอาหารได้ดีจริงหรือไม่? 

ทั้งคู่ซื้อแฮมเบอร์เกอร์ McDonald’s มาระหว่างทาง และทำการหั่นแบ่งชิ้นเล็กๆ แล้วใช้ “ไม้จิ้มฟัน” ปักลงไปทีละชิ้น จัดเรียงให้สวยงาม พร้อมวางเสิร์ฟในจานอย่างเป็นระเบียบ (ดูไม่ออกเลยว่าเป็น McDonald’s) ก่อนนำไปให้เชฟผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายชิม

ผลตอบรับน่าสนใจมาก พวกเค้าให้คอมเมนต์ว่า…นุ่ม / สดใหม่ / ละลายในปาก / น่าจะเข้ากันได้ดีกับไวน์

เมื่อถูกถามว่า แตกต่างอย่างไรกับ McDonald’s? คำตอบที่ได้คือ รสชาติกลมกล่อมกว่ามาก / ชิ้นเนื้อดูสวยแน่นอวบอิ่มกว่า / สัมผัสได้ถึงความออแกร์นิกที่มากกว่า

ลองนึกภาพว่าถ้าแฮมเบอรืเกอร์ถูกนำเสนอแบบปกติ…ห่อด้วยกระดาษถูกๆ พร้อมโลโก้แมคโดนัลด์ ผลลัพธ์ที่ได้คงไม่เป็นเช่นนี้

การทดลองนี้พิสูจน์ว่า นอกจากชิมอาหารแล้ว เชฟเหล่านี้ยังได้ “ชิมรสชาติการนำเสนอ” ด้วย ซึ่งการนำเสนอที่ดี เปลี่ยนผลลัพธ์ได้ชนิดหน้ามือเป็นหลัง

และตอกย้ำว่า ถ้าอยากให้ผู้คน “ซื้อไอเดีย” ของคุณ จงเข้าไปอยู่ในโลกของกลุ่มเป้าหมาย จงนำเสนอไอเดียในรูปแบบไม้จิ้มฟันนี้

นอกจากนี้ การแยกของกินเป็นคำๆ ยัง “เพิ่มมูลค่า” ได้เช่นกัน การ Presentation แยกเป็นชิ้นๆ คำๆ ของอาหารญี่ปุ่นอย่าง “ซูชิ” คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด

เมื่อแยกเป็นคำๆ แล้วเสิร์ฟมาในภาชนะไม้ (เกตะ) ที่สวยงามแล้ว กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเสียอีก (ซูชิเป็นอาหารที่มี “ราคา” สูงอันดับต้นๆ ในบรรดาอาหารญี่ปุ่นทั้งหมด)

การเปรียบเทียบแบบแสดงให้เห็นภาพ คืออีกหนึ่ง Masterful Presentation ชั้นเลิศ

Steve Jobs ได้สร้างมาตรฐานการนำเสนอที่สูงมากไว้ที่ในปี 2008 โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยการหยิบ MacBook Air ออกมาจาก “ซองจดหมาย” บ่งบอกถึงความบางและเบาชนิดที่ใส่ซองจดหมายยังได้

การเปรียบเทียบลักษณะนี้ยังใช้ได้ดีกับการเขียนหัวข้อต่างๆ เช่น

  • ผิวนุ่มเหมือนก้นเด็ก
  • แอร์เย็นเหมือนอยู่ขั้วโลกเหนือ
  • โควิด-19 ก็เหมือนผี…รู้ว่ามี แต่มองไม่เห็น

.

หรือการทำออกมาเป็นภาพให้ใครก็ตาม ”เข้าใจง่าย”

ปี 1854 โลกได้รู้จัก Florence Nightingale เป็นหญิงสาวไม่กี่คนในยุคนั้นที่มีการศึกษาสูง เข้าใจในคณิตศาสตร์และการแพทย์ ปีนั้นเธอถูกส่งไปโรงพยาบาลทหารในสมรภูมิรบ “สงครามไครเมีย” (Crimean War) ก่อนจะพบว่า ทหารที่ป่วยตาย มีมากกว่า ทหารที่ถูกฆ่าตาย ถึง 10 เท่า!! เนื่องมาจากโรคต่างๆ 

เธอสืบเสาะจนพบต้นตอของสาเหตุนั่นคือ “ระบบท่อน้ำเสียอันล้าหลัง และ การออกแบบอาคารที่ทำให้อากาศไม่ถ่ายเท”

เธอรีบกลับไป London เพื่อชี้แจงต่อรัฐสภา แต่ในใจรู้ดีว่าคงไม่มีใครฟังข้อมูลอันยาวเหยียด โดยเฉพาะมาจากผู้หญิงที่ยุคนั้นยังไม่ค่อยได้รับความน่าเชื่อถือ

เธอจึงใช้เวลาออกแบบคิดค้น “แผนภูมิรูปภาพ” (Picture chart) ซึ่งย่อยข้อมูลทุกอย่างที่ต้องการสื่อสารให้เข้าใจง่าย ปรากฎว่าสะกดใจได้ทั้งรัฐสภา ทุกคนเซอร์ไพรส์กับรูปแบบนำเสนอที่แตกต่างนี้และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ไม่เคยรู้มาก่อน)

จนมีคำสั่งเร่งด่วน ให้สร้างอาคารโฉมใหม่ที่อากาศถ่ายเท และ ระบบท่อน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพขึ้น จนอัตราการเสียชีวิตของทหารป่วยตายลดลงจาก 42% เหลือแค่ 2% เท่านั้น!!

ไม่เกินจริงเลยหากบอกว่า การนำเสนอผ่านแผนภูมิรูปภาพของเธอ ได้ช่วยชีวิตทหารนับพันราย และแผนภูมิรูปภาพนี้เองก็ถูกพัฒนาต่อยอดจนมาถึงปัจจุบัน

จำไว้ให้ดี…วิธีนำเสนอ สำคัญกว่า เนื้อหาที่พูด

.

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

Original Image Cr. bit.ly/3uNNqXM

อ้างอิง