Wellness Collaboration: เมื่อคุณภาพชีวิต คือโอกาสทองธุรกิจมากกว่าที่คุณคิด

Wellness Collaboration: เมื่อคุณภาพชีวิต คือโอกาสทองธุรกิจมากกว่าที่คุณคิด
  • โรงแรมหรูที่คอแลปกับสปา & ทรีตเมนต์
  • ร้านกาแฟที่จับมือเลือกใช้นมจากพืช
  • ออฟฟิศนำเทคโนโลยีมาดูแลสุขภาพจิตพนักงาน

นี่คือตัวอย่างของ “Wellness Collaboration” การคอแลปจับมือกันเพื่อมุ่งสู่การเสิร์ฟคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ลูกค้า

Wellness Collaboration เทรนด์ใหญ่ที่กำลังโตทั่วโลก

“Wellness” คำนี้ใช้เรียกความหมายรวมๆ ถึง “การมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ซึ่งโฟกัสไปที่เรื่องของสุขภาพร่างกายที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม / ความงาม-ความเยาว์วัย / สุขภาพด้านจิตใจ / การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ / การเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ / จนไปถึงเรื่องปรัชญาในชีวิตต่างๆ

A picture containing person, indoor, food, dish

Description automatically generated

Global Wellness Institute (GWI) คาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้าน Wellness จะมีมูลค่าสูงถึง 220 ล้านล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 9.9% ต่อปี

นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรโลกกำลังเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” (Aging society) โดยในปี 2015 ประชากรโลกกว่า 620 ล้านคนมีอายุมากกว่า 65 ปี 

สำหรับเมืองไทย ข้อมูลจาก UN World Population Prospects เผยว่า ในปี 2050 ประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปจะคิดเป็นกว่า 30% ของประชากรไทยทั้งประเทศเลยทีเดียว (สิงคโปร์ 34%, เกาหลีใต้ 35%, ญี่ปุ่น 36%) ซึ่งสินค้าบริการด้าน Wellness ทุกรูปแบบก็ถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับความต้องการเพิ่มขึ้น

A group of men playing chess

Description automatically generated with medium confidence

และจากวิกฤติโควิด-19 ในปีผ่านๆ มาที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกเหนื่อยล้าทั้งการงาน สุขภาพกาย และสุขภาพจิตจน “โหยหา” ความพอดีของชีวิตโดยเฉพาะเรื่อง Wellness ยิ่งทำให้จุดติดเป็นกระแสหลัก ที่อาจไม่ใช่แค่เทรนด์มาแล้วก็ไปอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ที่ยกระดับขึ้น ผู้บริโภคคาดหวังสูงขึ้น

A group of people doing yoga on a beach

Description automatically generated with medium confidence

แบรนด์ที่อยู่ในอุตสาหกรรม Wellness โดยตรง ย่อมมีความได้เปรียบไปโดยปริยาย แต่ก็มีแบรนด์อื่นนอกอุตสาหกรรมที่พยายามปรับตัวเข้ามาด้าน Wellness โดยการไป “คอแลป” จับมือ “ข้ามสาย” เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกัน เสริมจุดแข็ง-ลดจุดด้อย แล้วโตไปพร้อมกัน

แบรนด์ที่จับมือสู่ Wellness Collaboration

Fitbit แบรนด์อุปกรณ์อัจฉริยะ(ซึ่งมีลูกค้าองค์กรมากมายเป็นลูกค้าอยู่แล้ว) ที่ติดตาม Health & Wellness ของร่างกายเรา เช่น จำนวนก้าวที่เดินในแต่ละวัน / อัตราการเต้นของหัวใจ / คุณภาพการนอน 

จับมือกับดาราชื่อดังระดับโลก Will Smith เปิดตัว “StrongWill” คอร์สออกกำลังกายพิเศษที่ถอดแบบมาจากเจ้าตัว ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านความแข็งแกร่งของร่างกาย การนั่งสมาธิ การหายใจ และจิตวิญญาณ

Graphical user interface, application

Description automatically generated

Image Cr. bit.ly/3pEaaIN

Sindhorn Kempinski โรงแรม 5 ดาวใจกลางกรุงเทพที่จับมือกับแบรนด์ชั้นนำผู้ให้บริการด้าน Wellness ในด้านต่างๆ มีพื้นที่รองรับด้าน Wellness มากถึง 4,000 ตร.ม. ภายในตัวโรงแรม อาทิเช่น

  • “ยิม” ที่ออกแบบเหมือนฟิตเนสคลับ ออกกำลังแบบจริงจัง อุปกรณ์ขั้นสูงครบครัน พร้อมคลาสน่าสนใจเพียบ เช่น Cycling Studio / Body Combat / Body Pump / พิลาทิส /ซุมบ้า
A picture containing indoor, ceiling, several

Description automatically generated

Image Cr. bit.ly/3pBVUQK

  • “สปา” ที่นอกจากพวกนวดและทรีตเมนท์ตามมาตรฐานแล้ว ยังประกอบด้วย Hydrotherapy บำบัดด้วยน้ำ / Dry Flot Therapy ทรีตเมนท์แบบลอยตัวเหนือน้ำตัว / Scottish shower วารีบำบัดด้วยน้ำแรงดันสูง 
  • จนไปถึง “Thermal Journey” เล่นที่ความแตกต่างของอุณหภูมิ เช่น Salt Sauna ห้องซาวน่าด้วยห้องเกลือหิมาลัย / Ice Room ห้องเย็นเยือกแข็ง / Aroma Steam ห้องอบไอน้ำพร้อมน้ำมันหอมระเหย
A picture containing floor, ceiling, indoor, wood

Description automatically generated

Image Cr. bit.ly/3ci3uNp

ทั้งหมดนี้ใช้การคอแลปจับมือกับผู้ให้บริการชั้นนำด้าน Wellness ในหลายด้าน การใส่ใจเรื่องสุขภาพขนาดนี้สร้างความแตกต่างให้ Sindhorn Kempinski จากโรงแรมหรูเจ้าอื่นทันที และสอดคล้องกับการเติบโตของ Wellness Tourism ในเมืองไทย(โดยเฉพาะลูกค้ากระเป๋าหนัก)

หรือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Real Asset จับมือกับ Technogym บริษัทเครื่องออกกำลังกายชั้นนำระดับโลก นำเครื่องออกกำลังกายที่โฟกัสด้าน Wellness มาประจำการอยู่ภายในโครงการ 

A picture containing indoor, window, ceiling, furniture

Description automatically generated

Technogym ได้เปิดตลาดกับบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในไทย และ Real Asset ก็ได้สินค้าคุณภาพด้านสุขภาพมาเสิร์ฟแก่ลูกบ้านของตน แถมได้ภาพลักษณ์ด้าน Wellness จากพันธมิตรมาเต็มที่ (ไม่ต้องลงทุนปั้นภาพลักษณ์ด้านนี้เองจากศูนย์)

แบรนด์เริ่มต้นทำ Wellness Collaboration ยังไงดี?

อันดับแรก Mindset ผู้บริหารต้องเปิดกว้าง บางทีต้องยอมรับว่าแบรนด์ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองหรือเก่งได้เหมือนเจ้าตลาดที่เชี่ยวชาญเรื่อง Wellness อยู่แล้ว นอกจากนี้ พันธมิตรทางธุรกิจอาจมาจากอุตสาหกรรมที่ไม่คาดคิดก็ได้

Two people sitting at a table with a computer

Description automatically generated with medium confidence

ก่อนไปวิเคราะห์ต่อว่า จุดแข็งสินค้า-บริการของแบรนด์เป็นแบบไหน และจะเชื่อมโยงด้าน Wellness ยังไงได้บ้าง?

  • ถ้าเป็นร้านกาแฟอยู่แล้ว อาจไปจับมือกับแบรนด์นม Plant-Based Milk ได้หรือไม่?
  • ถ้าเป็นโรงแรมหรูเด่นเรื่องคุณภาพห้องและงานบริการอยู่แล้ว อาจไปจับมือกับสปาและทรีตเมนท์ชั้นนำได้หรือไม่?
A picture containing person, indoor, clothing, decorated

Description automatically generated

ถ้าแบรนด์อยากสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่มาทางด้านนี้ อาจลองเลือกมองหา “Wellness influencers” อินฟลูเอนเซอร์ยุคใหม่ที่โฟกัสด้านสุขภาพโดยตรงผ่านการ รีวิวสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม / ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน / ทัศนคติการใช้ชีวิต / ปรัชญาและจิตวิญญาณ

ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม แต่อุตสาหกรรมด้าน Wellness “มาแน่” เพราะสถิติเทรนด์จากทั่วโลกได้คอนเฟิร์มแล้ว อยู่ที่ว่าใครจะกระโดดเข้าได้เร็วกว่ากัน…

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

อ้างอิง