- ถ้าผู้นำยอมรับว่าจัดหาวัคซีนโควิดช้า
- ถ้าผู้นำยอมรับว่าไม่เข้าใจ Cryptocurrency อย่างถ่องแท้
- ถ้าผู้นำยอมรับว่าตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วไม่ทัน
ถ้าผู้นำยอมรับ “ความไม่รู้” (Ignorance) หรือตรงๆ เลยคือความโง่เขลาเรื่องใดเรื่องหนึ่งซะบ้าง แล้วแบมือขอความช่วยเหลือให้ทุกภาคส่วนอื่นเข้ามาช่วย สถานการณ์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะธุรกิจ / สาธารณสุข / การเงิน รวมถึงทุกเรื่อง…คงจะดีกว่านี้
ก่อนลงรายละเอียด เราไปหาคำตอบเรื่องของความไม่รู้กันก่อน
วิทยาศาสตร์ของความไม่รู้
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) เกิดขึ้นในช่วงยุค 1500s สิ่งที่คนทั่วไปมักเข้าใจคือการก้าวกระโดดของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือ “Revolution of Ignorance” มันคือครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่คนเรา “ยอมรับว่าไม่รู้”
เพราะวิทยาศาสตร์ตั้งอยู่บนรากฐานของความไม่รู้ เมื่อไม่รู้จึงต้องหาข้อมูล ต้องทดลองเพื่อหาคำตอบ และต้องทำซ้ำได้เพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นจริง ซึ่งวิธีการนี้ได้ลบล้างสิ่งที่มนุษย์เชื่อมาตลอดผ่านศาสนาและนิทานคำบอกเล่าต่างๆ
สิ่งนี้ยังเป็นจริงมาถึงยุคปัจจุบันในรูปแบบ “R&D” การวิจัยและพัฒนา บริษัทไหนมีงบ R&D สูง ยิ่งมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นเพราะมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง
เกาหลีใต้คือตัวอย่างที่ชัดเจน โดยมีงบ R&D สูงถึง 2.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.53% ของ GDP ทั้งประเทศ (สัดส่วนต่อ GDP มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก) งบ R&D ที่สูงนี้เองทำให้เกาหลีใต้ขึ้นแท่นประเทศเทคโนโลยีชั้นนำของโลกในเวลาอันรวดเร็ว
และรู้หรือไม่? “ผู้ชาย” จะยอมรับความไม่รู้-ความโง่เขลายากกว่าผู้หญิง เรื่องนี้มีที่มาที่ไปในแง่วิวัฒนาการ ถ้าให้อธิบายแบบรวบรัดก็คือ ผู้ชายทำหน้าที่ออกไปล่าสัตว์หาอาหาร ถ้าเขาล้มเหลวหรือโง่เขลาทำผิดพลาดอะไรไป ความเป็นความตายของครอบครัวในเผ่าคือราคาที่ต้องจ่าย ผู้ชายจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้พลาด ซึ่งมันมาพร้อมกับนิสัยการไม่ยอมรับความผิดนั่นเอง
ซึ่งนิสัยนี้ติดตัวมาถึงมนุษย์เพศชายยุคปัจจุบัน และโลกเราทุกวันนี้มี CEO ผู้บริหารที่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงด้วย เราจึงเห็นหลายเคส-หลายกรณีที่แม้ผู้นำจะทำผิดพลาดเพราะความไม่รู้ แต่ก็ไม่ออกมายอมรับขอโทษตรงๆ
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้นำบางคนที่ยอมรับในความไม่รู้ ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองให้ได้เห็นกันอยู่
ผู้นำที่ยอมรับความโง่เขลา
ประเด็นร้อนล่าสุดต้องยกให้เรื่องที่เกี่ยวกับโควิด-19
นาย David Clark รมต.สาธารณสุขนิวซีแลนด์ ประกาศลาออกเนื่องจากละเมิดกฎ Lockdown 2 ครั้งเพราะไปขี่จักรยานบนภูเขา “สิ่งที่ผมทำเป็นความโง่เง่าขาดความยั้งคิด ผมขออภัยอย่างสุดซึ้ง” เขากล่าวทิ้งท้าย
นาง Pilar Mazzetti รมต.สาธารณสุขเปรู ประกาศลาออกเนื่องจากลัดคิวฉีดวัคซีนให้กับอดีตปธน.เปรู
นาย Ernesto Araujo รมต.ต่างประเทศบราซิล ประกาศลาออกเพราะล้มเหลวทางการฑูต ทำให้บราซิลได้รับวัคซีนโควิดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
และบางกรณี เหมือนมันได้เป็น “วัฒนธรรม” ของคนบางประเทศมายาวนานแล้วที่ต้องออกมายอมรับผิดอย่างเช่น ญี่ปุ่น ที่เรามักเห็นผู้นำองค์กรภาคส่วนต่างๆ ออกมาโค้งคำนับขอโทษ
อย่างล่าสุดนาย Yoshihide Suga นายกญี่ปุ่นพึ่งออกมาโค้งขอโทษชาวญี่ปุ่นที่ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งทำให้ธุรกิจร้านค้ามากมายต้องปิด เนื่องจากโควิดระบาดหนักจนเอาไม่อยู่
หรือแม้แต่การยอมรับความไม่รู้ด้วยความหวังดี
ย้อนกลับไปช่วงปี 1990s ณ งานสัมมนาหนึ่งที่จัดขึ้นโดย World Bank ในหัวข้อ “East Asian growth miracle” มีผู้บริหารใหญ่บริษัท Kobe Steel ลุกขึ้นให้ความเห็นว่า…
ตัวเขาเองจบปริญญาเอกด้านโลหะวิทยาและทำงานที่นี่มากว่า 30 ปี แต่กระนั้นเชียว Kobe Steel ตอนนี้ได้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่และซับซ้อน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยอมรับว่าเข้าใจไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นในบริษัทด้วยซ้ำ แต่เขาและผู้บริหารใหญ่ท่านอื่นก็อนุมัติโครงการต่างๆ มากมายที่พนักงานเสนอขึ้นมา เพราะเราล้วนเชื่อมั่นว่าพนักงานทุกคนหวังดีต่อบริษัทนั่นเอง
การจะพูดเรื่องนี้กลางเวทีใหญ่อาศัยความกล้าหาญสูงมาก มันคือการยอมรับแต่โดยดีเลยว่า ผู้คร่ำหวอดในวงการอย่างเขายัง “รู้ไม่ถึงครึ่ง” ของสิ่งที่เกิดขึ้นเลย
ประยุกต์ใช้
แปลกแต่จริง คนเราพอได้เห็นอีกฝ่ายยอมรับว่าไม่รู้(พร้อมคำขอโทษอย่างจริงใจ) เรามีแนวโน้มจะ “ให้อภัย” ปล่อยวาง และช่วยกันหาทางออก โดยผู้หญิงจะมีแนวโน้มใจอ่อนให้อภัยสูงกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ
และสิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ ถ้าคุณอยาก “ขยายองค์ความรู้” ออกไปให้มากขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ซะก่อน” เพราะถ้าคุณคิดว่ารู้ดีอยู่แล้ว…คุณจะไม่อยากรู้เพิ่ม ซึ่งส่งผลร้ายในที่สุด เพราะขณะที่คุณรู้เท่าเดิม คู่แข่งของคุณอาจรู้มากขึ้นทีละนิดๆ จนแซงคุณในที่สุด
ขณะเดียวกัน เตือนสติยั้บยั้งชั่งใจตัวเองไม่ให้หลงกลไปกับคำพูดอันสวยหรูของผู้นำบางคนที่ลึกๆ โง่เขลา แต่ไม่แสดงออก(เนียนเก่ง) บางคนมีวาทศิลป์ชั้นเลิศ โน้มน้าวใจได้ดั่งปลุกเสก แต่การจะแก้ปัญหาจริงๆ ได้บางครั้งต้องอาศัยองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญที่แท้จริง
สุดท้ายแล้วคุณลองผสมผสาน “วิทยาศาสตร์” มาใช้ในการนำทางชีวิตดูบ้าง เรื่องอะไรที่ไม่รู้แน่ชัด…ก็ยอมรับแต่โดยดี ก่อนจะทำการสังเกต ทดลอง ก่อนจะพิสูจน์เพื่อหาคำตอบ
.
.
ลองทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa นอกจากจะเจออาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…คุณอาจค้นพบเรื่องที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนด้วยนะ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/
Original Image Cr. bit.ly/32SxbMQ
อ้างอิง
- https://www.forbes.com/sites/karagoldin/2017/08/23/dont-fake-it-why-admitting-ignorance-can-help-you-make-it/?sh=7984a4e77ae3
- https://www.vox.com/science-and-health/2019/1/4/17989224/intellectual-humility-explained-psychology-replication
- https://www.litcharts.com/lit/sapiens/terms/scientific-revolution
- https://medium.com/agileinsider/draw-empty-maps-ad6611195d52
- https://www.npr.org/sections/13.7/2018/01/12/577356257/science-says-that-to-fight-ignorance-we-must-start-by-admitting-our-own