- “หุ้นขึ้นมาตลอด ข่าวร้ายออกมาคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
- “เคยทำแบบนี้แล้วเวิร์ค ทำไมจะทำซ้ำไม่ได้”
- “มี Best Practice ในอดีตมาแล้ว ก็ทำตามๆ ไปเถอะ”
เรื่องนี้ไม่มีถูกผิด แต่บางครั้งการยึดติดกับอดีตจนเกินไป ก่อให้เกิด “Conservatism Bias” จนพลาดโอกาส ณ ปัจจุบันและอนาคต
Conservatism Bias ยึดติดความสำเร็จในอดีตจนไร้อนาคต
Conservatism Bias คือภาวะที่เรา “ยึดติดความสำเร็จในอดีต” หรือข้อมูลเก่าๆ ข่าวดีเก่าๆ ทัศนคติเก่าๆ มาเป็นบรรทัดฐานในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่มันอาจไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว
เป็นการพยายามกินบุญเก่าในอดีต แทนที่จะสร้างบุญใหม่ในปัจจุบันและอนาคต
Conservatism Bias จึงมีแนวโน้ม “ปิดกั้น” ไอเดียใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ บุคลากรใหม่ๆ เพียงเพราะมันขัดแย้งกับของเดิม
เรื่องนี้ยิ่งมีอิทธิพลเป็นพิเศษกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ (Grand past achievement) ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปจนกลายเป็น “Best Practice” ที่ผู้คนยึดถือปฏิบัติกัน
ในกรณีนี้ Best Practice ถือเป็นดาบสองคมก็ว่าได้
- นัยหนึ่ง…มันปูทางสูตรสำเร็จมาให้เราเดินตามได้อย่างง่ายดายแล้ว
- แต่นัยหนึ่ง…มันตีกรอบให้เราอยู่ในทางเดินเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่
สาเหตุของ Conservatism Bias
เวลาเราปักใจ “ยอมรับ” ข้อมูล / ทัศนคติ / แนวคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราไม่ได้ทำไปเพราะเชิงตรรกะเหตุผลล้วนๆ เท่านั้น แต่เรามี “ความรู้สึกร่วม” ไปกับมันด้วย
- ภูมิใจที่ได้ถือหุ้นตัวนี้ในมือ ราคาขึ้นเอาๆ
- เชื่อในแนวคิดการทำงานแบบนี้
- ดีใจกับตัวบุคคล มี CEO ท่านนี้คอยนำทัพ
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่เราจะต้อง “สะบัดทิ้ง” ความรู้สึกดีๆ นั้นออกไป เมื่อมีข้อมูลใหม่ล่าสุดมาโต้แย้ง-ลบล้างแล้วว่ามันไม่จริง หรือเพียงแค่…ของใหม่อาจดีกว่าของเก่าก็เท่านั้นเอง
- หุ้นที่ถือเกิดข่าวร้าย แนวโน้มมีแต่ลง
- การทำงานของคนรุ่นใหม่อาจยืดหยุ่นกว่า
- CEO รุ่นใหม่ไฟแรง บริหารเข้ากับยุคสมัยกว่า
นอกจากนี้ ยังสะท้อนไปถึงความล้มเหลวในการ “ตอบสนอง” ได้ทันท่วงที โดยเฉพาะในวงการด้านการเงิน-การลงทุน ที่อาจหมายถึงต้องคำนวณข้อมูลมหาศาลใหม่ทั้งหมด กว่าจะได้ข้อสรุป ความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นไปแล้ว
ตัวอย่าง Conservatism Bias
กระแสดราม่าล่าสุดของ LISA BLACKPINK ใน MV ตัวใหม่ที่ชื่อ “LALISA” พบเห็นการใส่ “ชฎา” และ “ชุดไทยสั้น” จนมีกลุ่มคนอนุรักษ์นิยมออกมาแสดงความคิดเห็นว่า “ไม่เหมาะสม” เพราะไม่ถูกหลักขนบธรรมเนียมดั้งเดิมที่เป็นมา
ซึ่งก็มีผู้คนมากมายตั้งคำถามว่า ทำไมชฎาและชุดไทยถึงต้องถูกแช่แข็งตีกรอบให้อยู่ในขนบธรรมเนียมดั้งเดิมไปตลอดกาล…จะดีกว่าไหม ถ้านำมันมาผนวกเข้ากับยุคสมัยใหม่ จนกลายเป็นจุดแข็งด้านความคิดสร้างสรรค์ที่มีเอกลักษณ์?
Image Cr. bit.ly/3E9yoAV
วงการหุ้นก็สะท้อน Conservatism Bias ได้ชัดเจนมากเพราะมีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ แทบทุกวัน (และทุกวินาที)
เช่น คุณถือหุ้น ABC อยู่แล้วราคาเป็นบวกขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหลายเดือน-หลายปี แต่จู่ๆ วันนี้เกิดข่าวร้ายใหญ่ของบริษัทออกมา มีแหล่งข่าววงในออกมายืนยันแล้วว่าเป็นข่าวจริง
ขณะที่ราคาส่งสัญญาณร่วงลงเรื่อยๆ แต่คุณกลับลังเลขายเพราะในใจขัดแย้งกันเอง พยายาม “ไม่อยากจะเชื่อ” ว่ามันเป็นจริง Conservatism Bias กำลังทำงาน
กว่าคุณจะยอมรับความจริงได้ ราคาหุ้นก็ร่วงลงไปหนักแล้ว ทำให้คุณได้ผลตอบแทนน้อยลงจนไปถึงขาดทุน
เราทราบดีว่า Kodak และ Nokia คืออดีตยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมของตัวเองเมื่อกาลครั้งหนึ่ง แต่เพราะยึดติดกับความสำเร็จในแนวทางและนวัตกรรมของตัวเองที่ทำสำเร็จมาหลายทศวรรษ จึงไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกยุคสมัยได้ทันท่วงที สุดท้ายถูก Disrupt ขนานใหญ่
Toyota ดึงดันที่จะพัฒนารถน้ำมันต่อไป (และเทคโนโลยีไฮโดรเจนที่ตนคิดค้น) ขณะที่เทรนด์โลกมุ่งหน้าสู่รถยนต์ไฟฟ้าหมดแล้ว จนถูก Tesla ที่เป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัวแซงหน้าไปในเชิงมูลค่าบริษัท (นักลงทุนให้มูลค่าในอนาคตมากกว่า)
Conservatism Bias ยังสอดแทรกอยู่ในระดับบุคคล เช่น ในการทำงานโปรเจคท์ใหญ่ที่มีสมาชิกทีมมาจากหลากหลายแผนก
แต่ละคนมีแนวโน้มจะดึงเอาประสบการณ์ตัวเอง / องค์ความรู้ตัวเอง / ผลงานเก่าของตัวเองมาบรรยายให้ทีมฟัง และอาจถึงขั้นสถาปนาเป็น “มาตรฐาน” ในการทำงาน จนอาจปะทะกับไอเดียอันหลากหลายที่มาจากแผนกอื่นได้
วิธีป้องกัน Conservatism Bias
ในยุคที่ทุกอย่างถูก Disrupt ได้ตลอดและมีข้อมูลเกิดใหม่ทุกวันที่พร้อมโต้แย้งความคิดเดิมๆ เราควรมีทัศนคติเชิงปล่อยวาง-โฟกัสกับปัจจุบัน
เช่นว่า “ความสำเร็จเป็นเรื่องอดีต เกิดขึ้นไปแล้ว และจบลงสมบูรณ์ไปแล้ว…ปัจจุบันค่อยว่ากันใหม่”
ทัศนคตินี้จะช่วยให้เราตอบสนอง (Reaction) ต่อข้อมูลใหม่ๆ ได้ทันท่วงที ไม่รีรอ-ไม่ชักช้า
ลองท้าทายวิธีการทำงานเดิมๆ และมองหารูปแบบการทำงานใหม่ๆ
เช่นจากเดิม บริษัทมีนโยบาย Work From Office เท่านั้น ก็เปลี่ยนเป็น Work From Home ทำงานจากที่บ้าน ก่อนขยายไปสู่ Work From Anywhere ทำงานจากที่ไหนก็ได้เพื่อความยืดหยุ่นสูงสุด และเป็นไปตามกระแส “Workation” หรือลักษณะการทำงานแบบพักร้อน คือ ทำงานไป-พักผ่อนไป สร้างความสมดุลมากขึ้น
หรือให้พนักงาน “หมุนเวียน” หน้าที่การทำงานในสาขาของตัวเอง จะได้เข้าใจหลายบทบาท มีมุมมองที่กว้างขึ้น
ตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ และพยายามหา “คำตอบ” เท่าที่เป็นไปได้มากที่สุด แน่นอนว่าไม่มีใครรู้คำตอบที่ถูกต้อง แต่จะช่วยให้เราไม่ตื่นตระหนกเวลาเจอข้อมูลใหม่ๆ
ยุคนี้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรายวัน หลายอุตสาหกรรมถูก Disrupt ของใหม่มาแทนที่ของเก่าเป็นว่าเล่น
การจะดีลกับปัจจุบันและจินตนาการถึงอนาคตได้…ต้องเลิกยึดติดกับอดีตเสียก่อน
.
.
ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/
Original Image Cr. bit.ly/3E9yoAV
อ้างอิง
- https://www.investopedia.com/articles/investing/022015/how-cognitive-bias-affects-your-business.asp
- https://www.dwassetmgmt.com/blog/conservatism-bias#:~:text=Conservatism%20bias%20can%20cause%20investors,announcement%20regarding%20a%20new%20product.
- https://corporatefinanceinstitute.com/resources/knowledge/trading-investing/list-top-10-types-cognitive-bias/
- https://www.managementstudyguide.com/conservatism-bias.htm