บอกลา Specialist ผู้หมกมุ่น…ได้เวลาเป็ด Multipotentialite ครองโลก!

บอกลา Specialist ผู้หมกมุ่น…ได้เวลาเป็ด Multipotentialite ครองโลก!

ศาสตร์ต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยหรือดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันได้ กลับเดินทางเข้ามาบรรจบกัน นี่คือความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของ “Multipotentialite” คนที่รู้รอบด้าน…แต่รู้ไม่ลึกซักอย่าง หรืออาจเรียกขำๆ ได้ว่า “ความรู้แบบเป็ด”

ที่มาสั้นๆ… Multipotentialite เป็นศัพท์ที่นักจิตวิทยาคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เดิมเป็นคำที่ให้ความหมายด้านลบ สื่อถึงคนที่ทำอะไรหลายอย่างแต่ไม่เก่งจริงซักอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมที่โลกสมัยนั้นที่แต่ละคนจะ specialize เชี่ยวชาญอาชีพด้านใดด้านหนึ่งไปเลย

เป็ดที่บินได้ในยุคนี้

แต่ความ ‘ครึ่งๆ-กลางๆ’ หลายด้านกลับเป็นข้อได้เปรียบในยุคนี้ ด้วยองค์ความรู้รอบด้านที่มีสะสมในตัว จึงมีแนวโน้มจะ “ปรับตัว” อยู่รอดได้ง่ายและเร็วกว่า จากวิกฤติโควิด-19 คือเหตุการณ์ที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้แล้ว บริษัทที่ชำนาญแค่เรื่องเดียว พอเจอวิกฤติซัดกระหน่ำตรงๆ ก็หาทางอื่นไปไม่เป็นจนต้องปิดบริษัท 

Multipotentialite ยังเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่โชว์ศักยภาพ “ความคิดสร้างสรรค์” ออกมาได้ดี เพราะเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ หลายด้าน(ที่เหมือนไม่เกี่ยวข้อง)ให้ไปกันได้ 

ดังคำกล่าว “Connecting the dots” ของ Steve Jobs ที่ว่าคุณควรรอบรู้หลายด้าน ตอนแรกคุณอาจยังไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เรียนรู้ไปจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร แต่ถึงจุดหนึ่งที่คุณมีข้อมูลมากพอ (Dots) คุณจะสามารถเชื่อมโยงมันเข้าหากันได้และนั่นคือจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมใหม่ๆ 

Steve Jobs ยังกล่าวทิ้งท้ายเชิงเสียดายว่า…แต่น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ไม่มี Dots มากพอ เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ที่หลากหลาย (Typography หรือการจัดวางและออกแบบตัวอักษร คือศาสตร์ที่ Steve Jobs เคยเรียนเมื่อนานมาแล้ว ก่อนจะนำมาใช้กับ iPhone ในอีกหลายสิบปีต่อมา)

เรื่องนี้ยังฝึกให้เรามีมุมมองทัศนคติที่กว้างไกล เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส

กระดาษ Post-it ที่ออฟฟิศใช้กันทั่วโลก เดิมตั้งใจจะทำให้กาวยึดติดแน่น…แต่ล้มเหลว แต่ผู้ประดิษฐ์มองความล้มเหลวนี้และเชื่อมโยงไปสู่ “ความยืดหยุ่น” ในการย้ายที่แปะไปเรื่อยๆ (แทนที่จะยึดติดที่เดียว) กลับกลายเป็นตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากกว่า และใช้กันมาถึงทุกวันนี้

รู้แบบเป็ด x คนธรรมดา

เราลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ ได้จาก ‘คนธรรมดา’ คนหนึ่งยุคนี้ที่รู้แบบเป็ด ซึ่งอาจสร้างช่องทางรายได้และชื่อเสียงได้อย่างน่าสนใจ

  • เขาอาจมีอาชีพหลักเป็น Online Marketer ที่บริษัทเอเจนซี่แห่งหนึ่ง
  • แต่เวลาว่างเขาทำ Facebook Page สายของกินที่มีผู้ติดตามหลายหมื่นคน มีแบรนด์มาลงโฆษณาเดือนละ 1 ครั้ง 
  • พร้อมๆ กับรับจ้างถ่ายภาพอาหารลงนิตยสารเดือนละ 2 ครั้ง
  • ไปเข้าตาสำนักพิมพ์จนต้องร้องขอให้รวมเล่มเป็นหนังสือ (แม้ไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ)
  • เปิดบูธขายของกินตามงานอีเว้นท์ใหญ่ๆ ปีละ 2 ครั้ง (ทำได้แค่นี้แหล่ะ ไม่รู้ระบบแฟรนไชส์)
  • ศึกษาและออมในหุ้นทุกเดือนอย่างมีวินัย ได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี (ไม่ได้รู้ลึกเรื่องหุ้นอะไร ขอแค่ 5%/ปี พอ)

“อย่างละนิด-อย่างละหน่อย” แต่นานวันเข้าความรู้แบบเป็ดก็สร้างรายได้ ชื่อเสียง ผลงาน ประสบการณ์ และ Connection ให้คนธรรมดาได้ไม่น้อย คนธรรมดาก็สามารถเป็น Multipotentialite ได้

รู้แบบเป็ด x ชีววิทยา

ชีววิทยาก็มาผนวกกับการทำงานในชีวิตประจำวันเราได้เช่นกัน

เมื่อต้องปั่นงานดึกๆ จนเครียด คุณรู้สึกหิวอยากกินอะไรหวานๆ ขึ้นมา แต่คุณรู้ดีว่านี่อาการ ‘หิวหลอก’ เกิดจากความเครียด ซึ่งกระตุ้นสมองให้หลั่งสารเคมีบางอย่างเพื่อให้กิน ทั้งๆ ที่ร่างกายไม่ได้เสียพลังงานเลย (แต่คุณไม่รู้หรอกว่าสารเคมีชื่ออะไร ทำหน้าที่อื่นอะไรอีกบ้าง)

เมื่อคุณรู้ก็ยับยั้งใจตัวเองได้ จึงเลือกดื่มน้ำเปล่าแทนที่น้ำอัดลม แค่นี้ก็สามารถรักษารูปร่างร่างกายให้ดีอยู่ได้ควบคู่ไปกับการทำงานจนสำเร็จลุล่วง

รู้แบบเป็ด x บูรณาการความรู้

ความรู้แบบเป็ดยังต่อยอดไปสู่การบูรณาการความรู้ได้

100 กว่าปีที่แล้ว U.S. Steel Corporation คือบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกซึ่งทำธุรกิจอุตสาหกรรมเหล็กกล้า และเป็นเชื้อเพลิงในการสร้างตึกระฟ้าที่เริ่มขึ้นในชิคาโก ก่อนจะไปนิวยอร์ค และกระจายสู่ทุกเมืองใหญ่ของโลกในเวลาต่อมา 

หากสังเกตดีๆ บริษัทใหญ่สมัยก่อนมักทำธุรกิจด้านอุตสาหกรรมหนักไม่ว่าจะน้ำมัน ถ่านหิน เหมืองแร่ เคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมยานยานต์ ฯลฯ

แต่ปัจจุบัน Apple คือบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ราว 68 ล้านล้านบาท…ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยี นอกจากนี้ในปี 2020 Top10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก…กว่าครึ่งหนึ่งก็เป็นบริษัทเทคโนโลยีเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุเพียง 20-30 ปีเท่านั้นเอง

เราพอจะเห็นแล้วว่า “กลุ่มบริษัทเทคโนโลยี” น่าจะเป็นอนาคตจากนี้

รู้แบบเป็ด x ประวัติศาสตร์

ความรู้ด้านเศรษฐกิจก็มาผนวกกับประวัติศาสตร์ได้เช่นกัน

สิ่งที่ฟังดูเหลือเชื่อสำหรับใครหลายคนคือ จีนเป็นประเทศที่มี GDP มากที่สุดในโลกมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ต่อเนื่องนาน ‘หลายร้อยปี’ (แต่คุณไม่รู้เหตุผลลึกๆ ว่าเพราะอะไร) จนพึ่งมาเสียแชมป์ให้ประเทศเกิดใหม่อย่างสหรัฐอเมริกาในปี 1890 และเป็นเบอร์ 1 มาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์หลายฝ่ายว่า เศรษฐกิจของจีนจะมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาในปี 2028 ที่จะถึง

เมื่อเรารู้ความเป็นมาแล้ว จะเข้าใจว่าการที่จีนแซงหน้าอเมริกาไม่ใช่การ “โค่น” บัลลังค์ แต่เป็นการ “ทวงคืน” บัลลังค์กลับมาต่างหาก ซึ่งจาก ประวัติศาสตร์-จำนวนประชากร-ขนาดพื้นที่ประเทศ-และปัจจัยอื่นๆ จีนน่าจะดำรงตำแหน่งเบอร์ 1 ไปอีกนาน

ซึ่งสะท้อนสู่ทิศทางการดำเนินธุรกิจได้ไม่แพ้กัน เราอาจเปลี่ยนนโยบายหรือปรับทัศนคติให้ความร่วมมือกับจีน-ผูกมิตรกับจีนมากขึ้น

เรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประวัติ GDP ของจีนไปแล้ว ก็อาจสงสัยและเชื่อมโยงไปเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่เรียนมาว่า ตัวเลข GDP ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของประเทศ คุณเลยเริ่มค้นหาตัวเลข “รายได้ประชากรเฉลี่ยต่อหัว” ของประเทศต่างๆ ใน Google เพื่อ ‘เปรียบเทียบ’ ก่อนจะพบว่า

GDP ของจีนอาจใหญ่ที่สุดในโลก แต่เมื่อหารออกมาเป็น “รายได้ประชากรเฉลี่ยต่อหัว” แล้ว จีนอาจต้องใช้เวลาอีกหลายทศวรรษกว่าจะขึ้นสู่ประเทศร่ำรวยอย่างแท้จริง

ปัจจุบัน รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนจีนอยู่ที่ราว 308,000 บาท/ปี แต่การจะถูกจัดให้อยู่ในประเทศร่ำรวยที่พัฒนาแล้ว รายได้เฉลี่ยต่อหัวต้องมากกว่า 374,000 บาท/ปี 

ขณะที่ รายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวอเมริกัน ณ ปี 2019 อยู่ที่ราว 2,090,000 บาท/ปี มากกว่าจีนเกือบ 7 เท่า

แต่ของชาวอเมริกันก็ยังน้อยกว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวสวิส ซึ่งอยู่ที่ราว 2,690,000 บาท/ปี

เมื่อมองย้อนกลับมา รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทย ณ ปี 2019 อยู่ที่ราว 195,000 บาท/ปี จากข้อมูลที่หามาบอกคุณว่า ตัวเลขนี้พึ่งจะใกล้เคียงกับของชาวสวิสเมื่อปี 1851 (หลังปรับค่าเงิน) หรือเมื่อ 168 ปีที่แล้ว..

ทำไมถึงต่างกันขนาดนี้? 

คุณสังเกตว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหมดล้วนเป็นชาติอุตสาหกรรมที่มี “เทคโนโลยีเป็นของตัวเอง” ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง แม้สวิตเซอร์แลนด์จะเป็นประเทศเล็กๆ ประเทศน้อย และไม่มีพรมแดนติดทะเล…แต่กลับมีแบรนด์ยักษ์ใหญ่และเทคโนโลยีเป็นของตัวเองมากมาย

ไทยตอนนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ “รายได้ปานกลางระดับสูง” เศรษฐกิจประเทศเราพัฒนามาถึงจุดนี้ได้ด้วยการรับจ้างผลิตให้กับบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น บริษัทรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ แต่เราติดกับดักนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว การจะข้ามขั้นสู่ประเทศร่ำรวยจึงต้องใช้โมเดลอื่น 

แล้วทำยังไงเราถึงจะไปจุดนั้นได้? 

นี่คือความสนุกอย่างหนึ่งของการเป็นเป็ด Multipotentialite 

จากจุดเริ่มต้นที่ประวัติศาสตร์ GDP ของจีนแบบคร่าวๆ นำไปสู่การขบคิดว่าเมืองไทยจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างไร?

จากองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่เล็กๆ เราเชื่อมโยงสู่ความรู้แขนงอื่น เกิดการ “บูรณาการหลายศาสตร์” เข้าด้วยกัน จนตกผลึกทางความคิดบางอย่าง เกิดการตั้งคำถามที่ดีที่นำไปสู่คำตอบที่ดี วนไปแบบนี้เรื่อยๆ ท้ายที่สุดเราอาจพบ Solution ใหม่ๆ (แม้จะไม่ได้เป็น Specialist ด้านใดเลยก็ตาม!)

.

.

มาถึงตรงนี้ เรารู้แล้วว่า Multipotentialite หรือการรู้แบบเป็ด มีความสำคัญมากแค่ไหน แม้รู้ทีละนิด-ทีละหน่อย แต่ถ้านำมาปะติดปะต่อ และ ‘อ่าน’ ออก มองเห็นถึงความสัมพันธ์ของเรื่องต่างๆ ในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น…เมื่อนั้นเราก็อาจนำหน้าคนอื่นไปไกลแล้ว

.

อยากรู้ว่าตัวเองมีความเป็น Multipotentialite มากน้อยแค่ไหน?

ลองไปทำ “แบบประเมินอาชีพ” โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ จาก CareerVisa เพื่อค้นหาความถนัด ‘หลายด้าน’ ที่คุณมี และทำ ‘หลายอย่าง’ อย่างมีความสุขกันเถอะ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

อ้างอิง