Planning Fallacy: อะไรๆ มักไม่เป็นไปตาม “แผน”

Planning Fallacy: อะไรๆ มักไม่เป็นไปตาม “แผน”
  • เป้าหมายตอนปีใหม่…สำเร็จไปแล้วกี่อย่าง?
  • ตั้งเป้าลดน้ำหนักจริงจัง…ลงไปกี่กิโลกรัมแล้ว?
  • “บริษัทมีแผนขยายโรงงาน / เปิดตัวสินค้าใหม่ / เจาะตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่”

ถ้าคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ เป้าหมายเหล่านี้จะยังคงอยู่ที่เดิมบนแผ่นกระดาษ รสชาติความสำเร็จเกิดขึ้นแค่ในหัวตอนคุณฝันกลางวัน

ทำไมกัน…ทำไมเราวางแผนซะดิบดี แต่สุดท้ายอะไรๆ กลับไม่เป็นไปตามที่แพลน? 

นี่คือหลุมพรางที่เรียกว่า “Planning Fallacy”

Planning Fallacy: อะไรๆ มักไม่เป็นไปตามแผน

Planning Fallacy คือการที่มนุษย์มักประเมินระยะเวลาที่จะทำงานเสร็จ “ต่ำกว่าความเป็นจริง” จนทำให้สิ่งที่ “วางแผนไว้แต่แรก” ไม่บรรลุตามเป้าหมาย

Daniel Kahneman และ Amos Tversky สองนักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันคือผู้นิยามคำนี้ ทั้งคู่ยังเตือนว่า Planning Fallacy เกิดขึ้นได้กับองค์กรยักษ์ใหญ่ที่มีคนเก่งเพียบ / มีประสบการณ์ / มีทรัพยากร

Sydney Opera House สะท้อนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

  • แผนโปรเจคท์ที่จะสร้าง Sydney Opera House เริ่มขึ้นในปี 1957
  • คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จปี 1963 ด้วยค่าก่อสร้าง $7 million
  • แต่สุดท้าย ไปเสร็จเอาปี 1973 ด้วยค่าก่อสร้างที่ทะลุเพดานไปถึง $102 million

ล่าช้ากว่าเดิมถึง 10 ปี!! งบก่อสร้างสูงกว่าที่คาดการณ์กว่า 14 เท่า!!

Roger Buechler นักจิตวิทยาชาวแคนาดา ทำการทดลองโดยให้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 วางแผนว่าจะส่งการบ้านได้ทันวันไหน โดยต้องระบุทั้ง 2 ตัวเลือก

  1. Realistic deadline: วันที่ส่งได้ทันจริงๆ ตามความสามารถตัวเอง
  2. Worst-case deadline: วันที่ส่งได้ทันกรณีเลวร้ายที่สุด

ผลปรากฎว่า มีนักศึกษาเพียง 30% เท่านั้นที่ส่งตาม Realistic deadline ได้ทัน ขณะที่เหลือต้องใช้เวลาเพิ่มอีก 7 วันเต็มๆ ในการส่งตาม Worst-case deadline ที่ระบุไว้

ความน่าสนใจอีกอย่างของ Planning Fallacy ที่บ่งบอกความเป็นมนุษย์คือ การประเมินระยะเวลาที่ทำงานเสร็จที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมักเกิดขึ้นกับตัวเอง (ประเมินตัวเอง) แต่ถ้าให้ “ประเมินคนอื่น” จะประเมินสูงกว่าความเป็นจริงไปมาก

  • ประเมินตัวเอง: คิดว่าทำ Project A เสร็จใน 1 สัปดาห์…แต่เสร็จจริง 2 สัปดาห์
  • ประเมินคนอื่น: คิดว่าทำ Project A เสร็จใน 3 สัปดาห์…แต่เสร็จจริง 2 สัปดาห์

ทำไมคนเราเป็นนักวางแผนยอดแย่?

สาเหตุหลักเกิดจากการ “โฟกัส” แค่ตัวโปรเจคท์มากเกินไป จน “เพิกเฉย” ปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrollable external forces) ซึ่งปัจจัยนี้อาจทรงพลังจนเข้ามาควบคุมทิศทางโปรเจคท์ที่เราทำอยู่ได้เลย

โควิด-19 คือตัวอย่างระดับโลกที่ชัดเจนที่สุด ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนคาดการณ์มาก่อนว่าโลกของเราจะเกิดโรคระบาดหนักจนคร่าชีวิตผู้คนไปมหาศาล และทำให้หลายธุรกิจต้องล่มสลายลง

นอกจากนี้ มนุษย์มีความทะเยอทะยานสูง อยาก “สำเร็จไปซะทุกเรื่อง” 

  • ก่อนอายุ 30 ต้องมี 1-2-3-4
  • ยอดขายต้องแตะร้อยล้านให้ได้ภายใน 5 ปี
  • ขยายสาขาครบทุกประเทศในเอเซียนใน 10 ปี
  • ขอมีซิกแพคให้ได้ภายใน 6 เดือน
  • ไปเมืองนอกครบ 20 ประเทศก่อนอายุ 40

ทั้งที่ความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมี “ข้อจำกัด” อยู่ในตัวไม่มากก็น้อย สุดท้ายจำเป็นต้อง “เลือก” สำเร็จแค่บางอย่าง และปล่อยให้ที่เหลือไม่เป็นไปตามเป้า

นอกจากนี้เรายังติดกับดักแนวคิดที่ให้ “นำอดีตเป็นบทเรียน” ทั้งที่สิ่งที่เรื่องราวบทเรียนในอดีต อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้วก็ได้

ป้องกัน Planning Fallacy ได้อย่างไร?

เพื่อบรรลุเป้าหมายได้สมจริงยิ่งขึ้น (Realistic) เราควรเปรียบเทียบตัวเองกับ “ค่าเฉลี่ยตลาด” อยู่เสมอ ตัวเลขที่ออกมาย่อมมีเหตุผลของมันผลลัพธ์ถึงออกมาเป็นแบบนั้น 

Nielson ทำการศึกษาพบว่า ระหว่างปี 2008-2010 สินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 11,000 รายการที่วางขายในอเมริกาเหนือ มีเพียง 34 รายการเท่านั้น (0.31%) ที่สร้างยอดขายได้มากกว่า $25 ล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ปีแรก

และมีแค่ 6 รายการเท่านั้น (0.055%) ที่สร้างยอดขายติดต่อกัน 2 ปีได้มากกว่า $200 ล้านเหรียญสหรัฐ

Gary Klein นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน แนะนำให้ลอง “มโนล่วงหน้า” เช่น จัดประชุมหนึ่งขึ้นมา เรียกทีมทุกคนมารวมกัน และอาจพูดทำนองว่า

“ให้คิดซะว่านี่คือ 1 ปีให้หลัง พวกเราทำตามแผนที่วางไว้อย่างดีทุกอย่างเป๊ะ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นหายนะ หายนะมีอะไรบ้าง? 1-2-3-4-5”

เคล็ดลับนี้จะช่วยให้เรามีสายตารอบคอบขึ้น อาจพบเจอจุดบอด-จุดบกพร่องที่มองข้าม 

ที่สำคัญ ต้องคิด “แผนสำรอง” (Contingency plan) ไว้เสมอกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน การมาของโควิด-19 ทำให้หลายคนตระหนักว่าแค่นี้อาจไม่พอด้วยซ้ำ แต่ต้องคิดเผื่อแผนการที่ช่วยพยุงให้บริษัทอยู่รอดไปต่อได้ด้วย (Survival plan) 

Planning Fallacy ไม่ได้บอกให้เราห้ามวางแผน แต่ให้เพิ่มความยืดหยุ่นลงไป รอบคอบมากกว่านี้ สอดคล้องกับโลกความจริงมากกว่านี้ และสุดท้าย อาจต้อง “เผื่อใจ” บ้างเมื่ออะไรๆ ไม่เป็นไปตามแผน

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

อ้างอิง