The Jevons Paradox: เทคโนโลยียิ่งก้าวหน้า เรายิ่งทำงานมากขึ้น

The Jevons Paradox: เทคโนโลยียิ่งก้าวหน้า เรายิ่งทำงานมากขึ้น

ถ้าคุณกำลังสงสัยว่า ทำไมเทคโนโลยียิ่งล้ำหน้า…ผู้คนยิ่งต้องทำงานมากขึ้น บทความนี้มีคำตอบ ซึ่งจะพาไปรู้จักกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “The Jevons Paradox”

The Jevons Paradox: ทำไมเทคโนโลยียิ่งก้าวหน้า คนยิ่งทำงานมากขึ้น

คุณ William Stanley Jevons (ที่มาของชื่อ) นักเศรษฐศาสตร์รุ่นบุกเบิกของอังกฤษ คือผู้ที่ค้นพบปรากฏการณ์สุดขัดแย้งในตัวเองนี้

ย้อนกลับไปปี 1865 James Watt พึ่งประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิมมากได้สำเร็จ อะไรๆ ดีกว่าเดิมแต่ใช้ถ่านหิน (Coal) น้อยลง เหล่าวิศวกรยุคนั้นดีใจใหญ่ว่า อัตราการใช้ถ่านหินในภาพรวมจะลดลงมหาศาล…แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม เพราะอัตราการใช้ถ่านหินกลับเพิ่มขึ้นแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!! 

A picture containing train, track, tree, grass

Description automatically generated

คุณ Jevons เข้ามาทำการเจาะลึกสำรวจก่อนจะค้นพบว่า 

  • ประสิทธิภาพเครื่องจักรไอน้ำรุ่นใหม่ที่ดีขึ้น (Efficiency improvement) นำไปสู่ 🡺 การช่วยลดต้นทุน 🡺 ช่วยประหยัดเงิน
  • แต่เงินส่วนนี้ที่ประหยัดได้ 🡺 ถูกนำไปลงทุนใหม่ (Reinvest) 🡺 เพื่อขยายกำลังการผลิต (เช่น ซื้อเครื่องจักรเพิ่ม) 🡺 ซึ่งนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • และเมื่อเศรษฐกิจภาพรวมโตขึ้น 🡺 ก็นำไปสู่การใช้ถ่านหินมากขึ้นในที่สุด

ซึ่งแพทเทิร์นปรากฏการณ์นี้ ไม่ได้ใช้อธิบายได้แค่เรื่องพลังงาน…แต่ใช้ได้กับทรัพยากรอื่นๆ ด้วย

ทำไมผลลัพธ์ถึงกลับตาลปัตร?

คุณ Jevons อธิบายว่า เพราะเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้ถูกคิดค้นมาเพื่อกระตุ้นการ “เติบโต” (Growth) ของเศรษฐกิจภายใต้ระบบทุนนิยม

  • เทคโนโลยีอันล้ำหน้า จึงไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่ให้ใช้ มากขึ้น ต่างหาก
  • เทคโนโลยีไม่ได้ช่วยให้เรา ทำงานเท่าเดิมโดยใช้เวลาน้อยลง แต่…ทำงานได้มากขึ้นโดยใช้เวลาเท่าเดิม ต่างหาก
Graphical user interface

Description automatically generated

กล่าวคือ เทคโนโลยี “ในตัวมันเอง” ช่วยผู้คนลดเวลาการทำงานได้จริงๆ (เช่น โปรแกรมตัดต่อวิดีโอใหม่ ช่วยประหยัดเวลาทำลงได้ 50%) 

แต่เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมที่ต้องเติบโตตลอด เวลาที่ลดไปได้…จึงถูกทำซ้ำเรื่องเดิมให้ได้ Productivity มากขึ้น หรือไม่ก็ ถูกนำไปทำเรื่องอื่นแทน (งาน A ลดลง 🡺 คนก็ไปทำงาน B แทน)

The Jevons Paradox ในหลากหลายอุตสาหกรรม 

การเริ่มแพร่หลายของ Email ในปลายทศวรรษที่ 1990s มาพร้อมความฝันของคนทำงานทั่วโลกที่หวังจะช่วยลดขั้นตอนการติดต่อสื่อสารได้อย่างมหาศาล…แต่ผลลัพธ์ตรงกันข้าม 

การโต้ตอบในอีเมลกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน(และทักษะสำคัญ) ของคนทำงานทั่วโลก

  • ทุกวันนี้สิ่งที่หลายคนทำเมื่อเริ่มทำงานคือ “เช็คอีเมล” 
  • เมื่อเราส่งเมลให้ลูกค้า ลึกๆ เราคาดหวังการตอบกลับแบบ “ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”
  • ยิ่งเราตอบเมลเร็วเท่าไร ยิ่งได้รับเมลกลับมาเพิ่มเท่านั้น
A screen shot of a computer

Description automatically generated with low confidence

วิกฤติปลาแซลมอน (Salmon Crisis) ปี 1990s กลับเกิดจากความตั้งใจดีในการลดการจับปลาแซลมอน เรื่องมาจากว่า เทคโนโลยีการ “เพาะเลี้ยง” ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ปริมาณปลามากขึ้น และราคาถูกลงมากจนคนทั่วไปหาซื้อกินได้ 

ซึ่งดันไปทำให้ความต้องการในตลาดโตระเบิด จนปริมาณแซลมอนเพาะเลี้ยงมีไม่เพียงพอ สุดท้ายต้องกลับไป “จับ” ปลาแซลมอนในทะเลธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศน์ในทะเล

A picture containing table, food, dish, indoor

Description automatically generated

แม้รถยนต์รุ่นใหม่จะ “ประหยัดน้ำมัน” กว่าเดิม แต่เพราะมันประหยัดกว่าเดิม คุณจึงขับมันมากขึ้น กลายเป็นว่าเวลาที่เสียไปกับการขับรถและค่าน้ำมัน…อาจไม่ต่างจากเดิมหรือเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ ปัจจุบันทั่วโลกมีรถยนต์ทั้งหมดกว่า 2,000 ล้านคัน และนโยบายภาครัฐหลายประเทศทั่วโลกเริ่มหันมาสนับสนุน “รถยนต์ไฟฟ้า” โดยมีอุดมคติหวังให้ “ทดแทน” รถยนต์แบบสันดาปที่มีอยู่ทั้งหมดในอนาคตเพื่อลดการปล่อยมลภาวะ 

แต่การทดแทนนี้คาดการณ์ว่า…

  • การขุดเหมืองแร่ (Mining) เพื่อสกัดธาตุมาใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 70%
  • ปริมาณการใช้ทองแดง (Copper) ในตัวเครื่องยนต์ เพิ่มขึ้น 200%
  • ปริมาณการใช้โคบอลต์ (Cobalt) เพิ่มขึ้น 400%

รวมถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดเพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดนี้ อาจก่อมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมในสเกลที่ใหญ่ไม่ต่างจากเดิม

Inside of a car

Description automatically generated with low confidence

แม้แต่เรื่องการ “รีไซเคิล” ที่ทุกคนมองว่าคือความหวัง

  • ปี 2018 อัตราการรีไซเคิลทั่วโลกอยู่ที่ 9.1%
  • ปี 2020 อัตราการรีไซเคิลทั่วโลกอยู่ที่ 8.6%

แม้เทคโนโลยีจะพัฒนาขึ้นตลอดทุกปี แต่อัตราการรีไซเคิลกลับน้อยลงสวนทาง เป็นเพราะ การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก (สินค้าที่บริโภค) แซงหน้า อัตราการรีไซเคิลที่ดีขึ้นต่างหาก

ทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้?

นี่คือประเด็นที่ผู้นำองค์กรต้องตระหนักถึงท่ามกลางสภาวะวิกฤติโลกร้อนในศตวรรษที่ 21 นี้  

เรามักคิดว่า หายนะทางระบบนิเวศวิทยา (Ecological catastrophe) หรือก็คือความพังพินาศของสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จะมี “เทคโนโลยี” เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย แต่ The Jevons Paradox ได้อธิบายแล้วว่า เทคโนโลยีอาจยิ่งทำให้วิกฤติร้ายแรงกว่าเดิม

เพราะเราไม่สามารถ “เสกทรัพยากร” เหล่านั้นออกมาจากอากาศได้ แต่ความจริงแล้ว ทุกทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย ยิ่งเราใช้อย่างไม่บันยะบันยัง ไม่มีการทดแทน จะส่งผลย้อนกลับมาทำร้ายเราในที่สุด ดังตัวอย่าง…

  • มิถุนายน ปี 2019 ไฟป่าออสเตรเลีย ที่ลุกลามอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำลายพื้นที่ไปกว่า 11 ล้านเฮกตาร์
  • กันยายน ปี 2020 ไฟป่ารัฐแคลิฟอร์เนียร์ ทำให้ท้องฟ้าเป็นสีแดงราวกับวันสิ้นโลกในภาพยนตร์
  • กลางปี 2020 ประเทศไทยประสบภัยแล้งหนักที่สุดในรอบ 40 ปี มูลค่าเสียหายกว่า 46,000 ล้านบาท
  • กรกฎาคม ปี 2021 น้ำท่วมใหญ่ฉับพลัน ที่มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน
  • สิงหาคม ปี 2021 แผ่นดินไหวใหญ่ ที่ประเทศเฮติ คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 2,000 คน
A picture containing sunset, mountain, nature, clouds

Description automatically generated

ตามหลักธรณีวิทยา ภัยธรรมชาติขนาดใหญ่เหล่านี้ควรจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในรอบทศวรรษ แต่ปัจจุบันกลับเกิดถี่ขึ้นทุกๆ 2-3 ปี และจากอัตราการใช้ทรัพยากรปัจจุบัน…ในอนาคตมีแต่จะถี่และรุนแรงขึ้น

  • Sir David Attenborough นักธรรมชาติวิทยาชั้นนำของโลก กล่าวว่า สุดท้ายแล้วธรรมชาติจะฟื้นกลับคืนมาอยู่ดี แม้ว่าจะมีหรือไม่มีมนุษย์ก็ตาม
  • Greta Thunberg นักสิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่ กล่าวว่า นี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 21 และถึงเวลาที่บริษัทยักษ์ใหญ่ต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงแล้ว

วิธีป้องกัน The Jevons Paradox

จะแก้อะไรได้อย่างยั่งยืน…ต้องแก้ที่ “โครงสร้าง” อาจถึงเวลาแล้วสำหรับศตวรรษที่ 21 ที่ภาครัฐต้องเริ่มลดบทบาทบางอุตสาหกรรมลง และ ไปโปรโมทอุตสาหกรรมแห่งอนาคตแทน เช่น จากโรงงานถ่านหิน หันไปส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์แทน

ในแง่การทำงานในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างชวนปวดหัวที่คนทำงานทั่วโลกประสบกันคือเรื่อง “อีเมล” (และเทคโนโลยีการสื่อสาร) ซึ่งองค์กรสามารถออกมาตรการมาควบคุมประเด็นนี้ได้ เช่น 

  • ปี 2011 บริษัท Volkswagen ออกมาตรการระงับการส่งอีเมลภายในองค์กรระหว่างเวลา 18:00-07:00 น.
  • ปี 2016 รัฐบาลฝรั่งเศสออกนโยบาย “Right to Disconnect” ระบุว่าพนักงานมีสิทธิ์ไม่รับสายหรืออ่านอีเมลที่ได้รับนอกเวลางาน ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเต็มที่
  • ปี 2017 บริษัท Daimler ออกนโยบาย “Mail on Holiday” ปกป้องความเป็นส่วนตัวของพนักงานกว่า 100,000 คนของบริษัทในวันลาพักร้อน โดยอีเมลที่ถูกส่งมาหาพนักงานกลุ่มนี้ช่วงลาพักร้อน จะถูก “ลบอัตโนมัติ” หรือถูกโยนไว้ในกล่องข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน 

นอกจากนี้ เราต้องเริ่มเปรียบเทียบระหว่างการ “เปลี่ยน” กับ “ลด”

แทนที่จะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า บางทีอาจเป็นการดีกว่าถ้าลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนไปเลย แล้วหันไปใช้ขนส่งมวลชนแทน (ซึ่งใช้พลังงานและพื้นที่/คน น้อยกว่ามาก)

A group of people on a train

Description automatically generated with medium confidence

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องกำหนดมาตรฐานใหม่ของการ “สร้างใหม่ทดแทน” (Regeneration) ต่อทุกๆ ทรัพยากรที่นำไปใช้สร้างผลิตภัณฑ์ เช่น หลังตัดไม้เพื่อมาทำโต๊ะเก้าอี้ IKEA ร่วมมือกับองค์กรนานาชาติ Forest Stewardship Council เพื่อให้มีการปลูกต้นไม้ทดแทนเสมอ

A person and a child walking through a forest

Description automatically generated with medium confidence

หรือเมื่อคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ได้สำเร็จซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนได้มาก อาจนำเงินที่ประหยัดได้ส่วนนี้ไปฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม (Natural Capital Rehabilitation) ที่เป็นต้นทุนในการสร้างเทคโนโลยีนั้นๆ

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

อ้างอิง