- “ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ จึงตั้งใจบริจาคให้เหลือ 0”
- เงินที่ได้มา เลยจุดที่ต้องการแล้ว ที่เหลือจึงให้ผู้อื่น
- เศรษฐีแสนล้าน ที่ยุติบทบาทธุรกิจ และมาช่วยสังคม
ท่ามกลางการแข่งขันชิงดีชิงเด่นของโลกใบนี้ราวกับเกมแพ้คัดออก ยังมีกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยมหาศาลที่ไม่ได้แคร์แค่ตัวเอง แต่แคร์ผู้อื่น รับรู้ถึงความทุกข์ยากลำบากและยื่นมือเข้าไปช่วย…พวกเค้าเลือกที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ขอต้อนรับให้รู้จักกับเหล่า “The Great Philanthropist” สุขใจชีวิตนี้ด้วยการให้
Chuck Feeney
Image Cr. bit.ly/3gkDEqO
เขาคือมหาเศรษฐีที่มีปรัชญาการดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพุทธศาสนา นั่นคือ “ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้” เขาจึงตั้งปณิธานว่าจะ “ทยอยบริจาคเงินจนเหลือ 0 เมื่อถึงวันตาย”
Chuck Feeney ร่ำรวยจากการทำธุรกิจ Duty Free ในชื่อบริษัทว่า DFS Group ซึ่งเริ่มต้นที่ฮ่องกงในปี 1960
ปี 1982 เขาก่อตั้งมูลนิธิ “The Atlantic Philanthropies” ที๋โฟกัสช่วยเหลือเรื่องที่สำคัญในสังคม เช่น การศึกษา / สาธารณสุข / สิทธิมนุษยชน / และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
นอกจากนี้ หนึ่งใน Hobby ของเขาคือการไปบริจาคเงินให้กับองค์กรหรือมูลนิธิต่างๆ อย่างลับๆ โดยไม่ประสงค์ออกนาม จนถูกสื่อมวลชนที่ตามรอยพบเจอขนานนามว่า “James Bond of Philanthropy”
วันนี้ในวัย 90 ปี ทั้งตัวเขาเหลือเงินเพียง 60 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 0.025% จากที่เคยมีทั้งหมด…ใกล้ความฝันที่เขาเคยปณิธานแล้ว
Michael Bloomberg
Image Cr. bit.ly/3kkkEKl
ชายที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายบทบาท ทั้งอดีตนายกเทศมนตรี New York City / นักธุรกิจเจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Bloomberg / นักเขียนผู้สร้างแรงบันดาลใจ / และล่าสุด นักบุญผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
ชายที่รวยที่สุดในโลกลำดับที่ 16 คนนี้มีชื่อเสียงด้านการเป็นผู้ให้มาช้านานแล้ว
ปี 2006 เขาได้ก่อตั้ง “Bloomberg Philanthropies” มูลนิธิที่ต่อมาใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 10 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งโฟกัสความช่วยเหลือด้านสิ่งแวดล้อม / การศึกษา / สาธารณสุข / ศิลปะ / และนวัตกรรมของภาครัฐ
เขาแนะนำเคล็ดลับการใช้ชีวิตในแบบเติมเต็มจิตวิญญาณว่า “คุณต้องให้มากไปกว่าแค่ตัวคุณเอง…คุณต้องให้เผื่อแผ่แก่ผู้อื่นด้วย” (Contribute beyond yourself)
ปี 2018 ปีเดียว นอกเหนือจากมูลนิธิแล้ว เขายังได้บริจาคเงินเป็นการส่วนตัวกว่า 25,000 ล้านบาท
Wahei Takeda
Image Cr. cnb.cx/3jchida
เจ้าของอาณาจักรขนมขบเคี้ยวยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง Takeda Confectionary Company
แม้จะเป็นเศรษฐีหมื่นล้าน แต่เขามีทัศนคติที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องเงิน เขากล่าวว่า เราอยู่ในสังคมที่ถูกอำนาจเงินครอบงำ ผู้คนพร่ำบอกกันว่าอยากรวยๆๆๆ แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า…แล้วต้องรวยถึงเท่าไรถึงจะพอ? น้อยคนนักที่จะตอบได้ น้อยยิ่งกว่าที่จะเคยฉุกคิด
ตัวเขาเองประสบความสำเร็จใหญ่โต เงินทองที่ได้จากธุรกิจนี้มากเกินจุดที่เขาต้องการไปมากแล้ว เขามองว่าเป็นเรื่องสมควรที่ต้องบริจาค “ส่วนเกินมหาศาล” เหล่านี้ให้แก่ผู้อื่น
หลายคนเรียกเขาว่า “Community Philanthropist” จากการใช้เวลาเดินสายตระเวนสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วภูมิภาค ให้ตระหนักถึงการแบ่งปัน การ “ให้เปล่าโดยไม่หวังผลตอบแทน” เขาเชื่อว่าถ้าคนอื่นพร้อมใจกันให้ พร้อมใจช่วยเหลือกัน จะสร้าง Impact ได้มากกว่าแค่ตัวเขาหรือเศรษฐีเพียงหยิบมือแน่นอน และจะช่วยให้สังคมเขยิบเข้าใกล้อุดมคติในแบบที่ทุกคนวาดฝัน
Bill & Melinda Gates
Image Cr. bit.ly/3sMLQFj
เมื่อพูดความเป็นคนใจบุญ ชื่อของทั้งสองคนนี้อยู่ในสื่อกระแสหลักมานานหลายทศวรรษแล้ว จนถูกขนานนามว่า “Celebrity Philanthropists”
เป็นที่รู้กันว่า Bill Gates ประสบความสำเร็จระดับโลกจาก Microsoft ทำให้เขาติดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในโลกอยู่หลายปี
ปี 2000 ทั้งคู่ได้ก่อตั้ง “Bill and Melinda Gates Foundation” ซึ่งต่อมาเป็นมูลนิธิที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โฟกัสกับการขจัดความยากจน / สาธารณสุขระดับโลก / การศึกษาอย่างเท่าเทียม / การเข้าถึงเทคโนโลยี / การต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำ…มูลนิธิยังได้ทำงานใกล้ชิดกับองค์กรชั้นนำของโลกอย่าง UN และ WHO
Image Cr. bit.ly/3zihkFQ
นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังได้บริจาคให้กับมูลนิธิและองค์กรการกุศลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท ในตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ขึ้นแท่นหนึ่งในผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของโลก
นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังได้จับมือกับ Warren Buffett ร่วมกันก่อตั้ง “The Giving Pledge” แคมเปญที่รณรงค์ให้มหาเศรษฐีทั่วโลกบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือคืนแก่สังคม เมื่อถึงปี 2020 มีมหาเศรษฐีชั้นนำของโลกลงนามแล้วกว่า 211 คน จาก 23 ประเทศทั่วโลก
Image Cr. bit.ly/3DereuG
มหาเศรษฐีเหล่านี้รวยระดับ “แสนล้านบาท-ล้านล้านบาท” เป็นความมั่งคั่งอันเหนือจินตนาการ แม้พวกเค้าจะบริจาคเงินทั้งหมดจนเหลือติดตัวแค่ 1% ก็ยังมีเงินทองนับพันล้านบาทอยู่ดี
ท่ามกลางปัญหาความเหลื่อมล้ำที่นับวันมีแต่จะถ่างออกไปทุกที อย่างน้อยโลกของเรา ยังมีมหาเศรษฐีที่มองเห็นปัญหานี้ และตัดสินใจที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยบรรเทาปัญหาอย่างจริงจัง
ความเป็นคนใจบุญและไม่ได้คิดถึงแค่ตัวเองของพวกเค้า น่าจะมอบข้อคิดให้กับเราได้ไม่มากก็น้อย
.
ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/
อ้างอิง
- https://www.nytimes.com/2017/01/05/nyregion/james-bond-of-philanthropy-gives-away-the-last-of-his-fortune.html
- https://www.cnbc.com/2021/01/25/warren-buffett-of-japan-secret-to-success-happiness-and-wealth-in-life.html
- https://www.insidephilanthropy.com/home/2019/11/25/the-bloomberg-philanthropy-files-what-we-can-learn-from-his-8-billion-in-giving
- https://www.tonyrobbins.com/giving-back/famous-philanthropists/
- https://www.gatesfoundation.org/