Brain-Based Learning: เรียนรู้ในแบบที่เป็นตัวเองที่สุด

Brain-Based Learning: เรียนรู้ในแบบที่เป็นตัวเองที่สุด

Brain-Based Learning เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ประยุกต์มาจากการสอนเด็กเล็กให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตในแต่ละช่วงวัย / เพศ / ครอบครัว / สภาพแวดล้อม 

หรือกล่าวคือ เป็นการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับ “สมองและพันธุกรรม” ของแต่ละคน เป็นการเรียนรู้ที่คุณจะรู้สึกได้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด

บอกลา “กฎเกณฑ์ตายตัว” ที่ว่าคุณต้องทำแบบนั้น-แบบนี้ ซึ่งกักขังคุณให้อยู่ในกรอบที่ใครบางคนสร้างไว้ (คนสร้างไม่ได้ใช้…คนใช้ไม่ได้สร้าง)

แล้ว Brain-Based Learning มีวิธีการอย่างไรบ้าง? เราลองไปดูตัวอย่างกัน

คนสมาธิสั้น

จากสายตาสังคมรอบข้าง มักมองว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกไม่เอาไหน “สมาธิสั้น” ไม่ให้ความร่วมมือ…แต่เปล่าเลย ร่างกายและสมองเขาถูกสร้างมาแบบนี้โดยกำเนิดต่างหาก

สมองคนกลุ่มนี้ ไม่สามารถ “ฝืนทน” (Tolerance) กับการจดจ้องโฟกัสอะไรนานๆ (ที่นานเกินไป) แม้เค้าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี / อารมณ์ดี / หรือมีเครื่องมือตัวช่วยต่างๆ ก็ตาม

(จริงอยู่ สมองมนุษย์โดยปกติจะเปิด-ปิดรับข้อมูลใหม่เป็นช่วงๆ อยู่แล้ว แต่คนกลุ่มนี้จะสั้นเป็นพิเศษกว่าคนปกติ)

เทคนิคคือให้ทำสิ่งที่เรียกว่า “Brain Break” หยุดพักสมอง ครั้งละ 5 นาทีก็เพียงพอแล้ว (ถ้านานไป การเรียนรู้อาจ “ขาดตอน” ได้)

  • เรียนรู้ไป-พักไป
  • ทำงานไป-หยุดพักไปเป็นช่วงๆ ทุกระยะ

คนสมาธิสั้นมักมีความผันผวนสูงของสาร เซโรโทนิน (Serotonin) ในร่างกายและระบบประสาท เซโรโทนินเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกแทบทั้งหมดของร่ายกาย ทั้งความรู้สึกหิว / ง่วง / สนุกสนาน / ตื่นเต้น / เบื่อหน่าย / มีอารมณ์ทางเพศ / สงบสุข…Brain Break จะเข้ามาช่วยปรับสมดุลตรงนี้

อีกตัวแปรที่ต้องหลีกเลี่ยงคือบรรดา “สิ่งเร้า” (Stimulus) ในระหว่างทำงาน-เรียนรู้ เพราะจะถูกเบี่ยงเบนความสนใจได้อย่างง่ายดาย

The Connected Introvert

การสร้าง Connection ไม่ได้หมายถึงการ “รู้จักคนเยอะๆ เข้าไว้” เสมอไป แต่ความถึงความลึกซึ้งของแต่ละความสัมพันธ์นั้นด้วย สิ่งที่อาจสำคัญกว่าด้วยซ้ำคือการได้ถ่ายทอด “คุณค่า” ที่เห็นร่วมตรงกัน (Shared value) ให้กับผู้อื่น

โลกทุกวันนี้เป็นใจให้เหล่า Introvert ขึ้นมากในการสร้างเครือข่าย เพราะมอบคุณค่าให้ผู้อื่นได้โดยตัวเองยังอยู่ใน Comfort Zone

Introvert ไม่ใช่ว่าไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เค้าอาจชอบมากกว่าใครหลายคนด้วยซ้ำ เพียงแต่การปฏิสัมพันธ์นั้นต้องมี “ระยะห่าง” มาขวางกั้นเล็กน้อย ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เรื่องที่เคยเป็นความฝันในอดีต เป็นจริงขึ้นแล้วในปัจจุบัน

เช่น ในการประชุม (ถ้าเลือกได้) Introvert อาจสะดวกใจในการคุยผ่าน ZOOM มากกว่าคุยต่อหน้าตัวเป็นๆ (จนไปถึงคุยแบบ “ปิดกล้อง”) Introvert จะรู้สึกปลอดภัย และเปิดเผยตัวตนที่ยากจะแสดงออกในที่สาธารณะ

ที่ชัดเจนกว่าคือเค้าอาจเป็น Introvert ที่เขินอายสงบเสงี่ยม แต่กล้าแชร์ความรู้ให้กับผู้ติดตามเป็นแสนๆ คนในโลกโซเชียลก็ได้

หรือถ้าอยู่ออฟฟิศและจำเป็นต้องคุยซึ่งๆ หน้า Introvert อาจรักษาระยะห่าง เช่น ไม่นั่งใกล้ชิดกันเกินไป / ไม่สบตานานเกินไป / พูดจาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

Visualization

คนบางคนสามารถรับข้อมูลและจำเป็นภาพในหัวได้ดีกว่า

โดยสมองรับข้อมูลที่เป็นภาพกว่า 90% ของข้อมูลทั้งหมด และข้อมูลที่เป็นภาพ ยังถูกเก็บอยู่ในความทรงจำระยะยาว (Long-term memory) ของสมองมากกว่าตัวอักษร (เป็นเหตุผลว่า พอจะจำภาพเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่จำคำพูดเป๊ะๆ ไม่ได้)

Elinor Amit นักจิตวิทยาจาก Harvard Medical School เผยว่า เพราะพวกเค้ามีวิธีการคิดแบบ Visual Thinking ที่ละเอียดอ่อนระดับทำงานนอกจิตสำนึก ถ้าใช้เครื่อง MRI สแกนสมอง จะพบว่าแม้แต่เวลา “พูด” คนกลุ่มนี้ยังจะนึก “ภาพในหัว” ที่ชัดเจน(กว่าคนทั่วไป)พร้อมกัน

ประยุกต์ใช้กับการทำงานและเรียนรู้ ทำอะไรขอให้มีภาพเข้ามาร่วมด้วย

  • วาดเป็นรูปออกมาตรงๆ 
  • เขียน Mind Mapping เชื่อมโยงความสัมพันธ์
  • หรือเปรียบเปรย (Metaphor) ทำใช้ได้ดี

ในชีวิตประจำวัน เรื่องนี้ยังสะท้อนไปถึง “รูปแบบการเสพสื่อ” สำหรับคนกลุ่มนี้ การดูสารคดีใน YouTube จะมีประสิทธิภาพกว่าการอ่านหนังสือเล่มหนาที่มีตัวอักษรเยอะๆ

โลกทุกวันนี้ต้องเปิดกว้างมากขึ้น มนุษย์เราทุกคนไม่มีใครเหมือนกัน เมื่อไม่เหมือนกัน ก็ไม่ควรถูกจำกัดให้ต้องเรียนรู้หรือเสพข้อมูลด้วยวิธีการเหมือนกัน เมื่อนั้น เราคงจะ “ดึงศักยภาพ” ของแต่ละคนออกมาได้มากที่สุด

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

อ้างอิง