Lateral Thinking: รู้ปัญหาถึงแก่นด้วยการคิด 6 มิติ

Lateral Thinking: รู้ปัญหาถึงแก่นด้วยการคิด 6 มิติ

“อยากได้ไอเดียใหม่น่ะเหรอ? …ลองคิดนอกกรอบดูสิ”

พูดน่ะทำง่าย แล้วการคิด “นอกกรอบ” (Lateral Thinking) แบบที่สื่อกระแสหลักว่ากันน่ะ…มันเป็นอย่างไร? ต้องเริ่มจากตรงไหน? ทำอะไรก่อนหลัง?

หลายคนอาจมองว่าการคิดนอกกรอบ คือการตัดสิ่งที่มีอยู่ทิ้งไปก่อน แล้วเริ่มต้นคิดจากศูนย์…แต่ความจริงแล้วตรงกันข้ามเลย เพราะทุกไอเดียแสนบรรเจิดล้วนมาจากการคิดต่อยอดจากของเก่าทั้งสิ้น 

เพียงแต่การคิดนอกกรอบ…มีบางอย่างที่ต่างจากพวก

Lateral Thinking เทคนิคการคิดแบบนอกกรอบ

เดิมที บริษัทมักจมปลักอยู่กับวิธีที่พิสูจน์มาแล้วว่าเวิร์ค (Best practice) แต่การเฟ้นหาไอเดียใหม่ๆ ระดับปฏิวัติวงการ ไม่สามารถทำสิ่งเดิมๆ (แม้จะดี) แล้วคาดหวังผลลัพธ์ใหม่ๆ ได้

ประเด็นนี้ Lateral Thinking หรือการคิด “นอกกรอบ” จะช่วยเราได้มาก Lateral Thinking เป็นคำที่ Dr. Edward De Bono นักจิตวิทยาด้านสมองและประสาทบุกเบิกใช้คำนี้ตั้งแต่หลายทศวรรษที่แล้วจนกลายเป็นคำยอดฮิตในวงการครีเอทีฟปัจจุบัน

Dr. Edward De Bono เผยว่า การคิดนอกกรอบแฝงอยู่ใน “รายละเอียด” เล็กๆน้อยๆ ถ้าเราสังเกตรอบตัวจะพบว่า นวัตกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ มักเกิดจากการพัฒนาให้ดีขึ้นเล็กน้อย…แต่มากจุด (เปลี่ยนน้อย แต่ ปริมาณเยอะ)

เทคนิคคือ รวบรวมมาก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้า “ต้องทำ” เป็นปกติอยู่แล้วเวลาบริโภคสินค้า-บริการ

เช่น มือถือสมัยก่อน สิ่งที่ต้องทำคือกด “ปุ่ม” เพื่อใช้งานต่างๆ ทีนี้เราอาจหยิบ “ปุ่ม” มาครุ่นคิดต่อว่าจะทำอะไรกับมันได้บ้าง? 

  • ลดจำนวนปุ่มดีไหม?
  • ออกแบบปุ่มให้เบากดง่ายดีไหม?
  • หรือตัดปุ่มทิ้งไปเลย?!! แล้วเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน?!! (ออกมาเป็นทัชสกรีน)

นี่คือหนึ่งในรายละเอียดที่ Steve Jobs นำมาใช้ปฏิวัติวงการมือถือได้สำเร็จ และส่งบริษัท Apple ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดนับแต่นั้นมา

และบางครั้ง การคิดนอกกรอบไม่ได้โฟกัสแต่เรื่องความสดใหม่ ความทันสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดเสมอไป…แต่เกิดจากการมองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ และหยิบมา “ประกอบ” (Construct) เข้าด้วยกันจนเกิดเป็นนวัตกรรม

Gunpei Yokoi วิศวกรชาวญี่ปุ่นสะท้อนเรื่องนี้ได้ดีมาก จากมุมมองของเหล่าวิศวกรหัวกะทิ Gunpei Yokoi เป็นแค่ “คนกลางๆ” (Generalist engineer) ไม่ได้เชี่ยวชาญวิศวกรรมชั้นเลิศ ไม่ได้มีทักษะพิเศษแต่อย่างใด แต่คนกลางๆ คนนี้กลับสร้าง Impact ได้มากกว่าเหล่าหัวกะทิซะอีก

เพราะเขาคือผู้คิดค้น “Nintendo Game Boy” นั่นเอง เขาเลือกนำเทคโนโลยีเก่าๆ (ที่นักประดิษฐ์มองข้าม) และหยิบมันมาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่มีอยู่อย่างสร้างสรรค์ (Lateral Thinking with Withered Technology)

จากมุมมองของนักประดิษฐ์ Nintendo Game Boy ไม่ใช่อุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าเหนือชั้นแต่อย่างใด (ไม่เหมือนสมัยที่ iPhone 1 เปิดตัว) 

  • Nintendo Game Boy เป็นสินค้าที่เปิดตัวในยุค 1990s ที่ใช้เทคโนโลยีจากยุค 1970s
  • แต่สะดวก พกพาง่าย แบตเตอรี่ใช้ได้งาน
  • และดีไซน์ไม่หวือหวา ผู้ใหญ่ก็เล่นได้

สุดท้ายมันตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างมาก “Nintendo Game Boy” กลายเป็นอุปกรณ์เล่นเกมที่ขายดีที่สุดในศตวรรษที่ 20

นอกจากนี้ Myth หรือมายาคติที่คนมักมีต่อการคิดนอกกรอบคือ “ใช้ความรู้สึกสิ ปล่อยใจไปกับมัน…เดี๋ยวไอเดียเจ๋งๆ ก็เด้งออกมาเอง!”

เรื่องนี้อาจเป็นจริงสำหรับอัจฉริยะบางคน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ การคิดนอกกรอบต้องใช้ “หลักการ” เชิงตรรกะเหตุผลมากกว่าที่คิดเยอะ 

รู้ปัญหาถึงแก่น ด้วยการคิด 6 มิติ 

Lateral Thinking เป็นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่มี “หลักการ” ลุ่มลึกกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด โดย Dr. Edward De Bono กล่าวว่าสามารถแบ่งกลุ่มความคิดได้เป็น “6 มิติ” ด้วยกัน (ภายหลังถูกแตกต่างกันไป เช่น กล่อง/หมวก) โดยแต่ละมิติจะถูกแทนด้วย “สี” ได้แก่

  • สีขาว = ข้อเท็จจริง
  • สีเขียว = ไอเดียเสนอแนะใหม่ๆ
  • สีเหลือง = จุดเด่นด้านบวก (โอกาส / การต่อยอดไอเดียใหม่ / จุดแข็ง)
  • สีดำ = จุดเด่นด้านลบ (ปัญหา / ความเสี่ยง / จุดด้อย)
  • สีแดง = อารมณ์ความรู้สึก (ชอบ / ไม่ชอบ / ไม่ถูกจริต)
  • สีฟ้า = การจัดระเบียบความคิด การบริหารจัดการ

โดยในการขบคิดแต่ละครั้ง (เช่น ในที่ประชุมที่มีผู้เกี่ยวข้อง 10 คน) จะให้ทุกคนคิดแค่ 1 มิติ (1 สี) เพื่อที่จะสามารถ “โฟกัส” ไปที่เรื่องนั้นเรื่องเดียว ก่อนจะสลับ “หมุนเวียน” ไปสีอื่นๆ จนครบ

เช่นถ้าครั้งนี้เลือก “สีดำ” ก็ต้องนำเสนอแต่ปัญหาอุปสรรค

  • คู่แข่งเปิดตัวสินค้าใหม่ตัดหน้า 1 อาทิตย์
  • คอนเทนต์ที่ปล่อยไปไม่ Viral ยอด View ไม่ถึง 100,000
  • ผลกระทบจากโควิด ทำให้จำนวนสปอนเซอร์หายไป 40%

ถ้าเลือก “สีแดง” ก็ต้องนำเสนออารมณ์ความรู้สึก

  • “เรื่องอื่นโอเคหมดเลย ไม่ติดอะไร…แต่แค่รู้สึกไม่ชอบดีไซน์”
  • “รู้สึกว่า ดารา A ภาพลักษณ์บุคลิกท่าทางดูเข้ากับแบรนด์เรามากกว่า”

ถ้าเลือก “สีขาว” ก็ต้องนำเสนอเพียงข้อเท็จจริง

  • ญี่ปุ่นเปิดฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวไทยเมื่อปี 2013
  • ปี 2013 นักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น 219,000 คน ใช้จ่าย 9.1 พันล้านบาท
  • ปี 2019 นักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น 1,148,000 คน ใช้จ่าย 4.2 หมื่นล้านบาท
  • เพียง 6 ปีหลังจากฟรีวีซ่า จำนวนนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนญี่ปุ่นมากขึ้นเกือบ 6 เท่าตัว ยอดใช้จ่ายสูงขึ้นเกือบ 5 เท่าตัว

แต่ละสี-แต่ละมิติ ไม่ได้มีความสำคัญหรือเร่งด่วน (Priority) มากน้อยไปกว่ากัน เป็นเพียงการ “จัดระเบียบความคิด” ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เท่านั้นเอง

การคิดแบบ 6 มิตินี้ช่วยให้เราไม่ “ฟุ้งซ่าน” คิดโน่นคิดนี่สะเปะสะปะจนจับประเด็นหลักไม่ได้

สุดท้ายเราจะเห็นว่า Lateral Thinking การคิดนอกกรอบเป็นกระบวนการคิดที่ยังคงใช้ตรรกะเหตุผลอย่างเข้มข้นอยู่ เพียงแต่เป็นการคิดไม่เหมือนปกติ มองในมุมกลับ ตั้งคำถามอย่างชาญฉลาด

หาวิธีการใหม่ๆ เพื่อผลลัพธ์ใหม่ๆ สุดครีเอทีฟนั่นเอง

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

Original Image Cr. bit.ly/3y7ibrV

อ้างอิง