Workplace Threatening: เมื่อพนักงานถูกคุกคามในที่ทำงาน!!

Workplace Threatening: เมื่อพนักงานถูกคุกคามในที่ทำงาน!!
  • เราต้องการแรงงานไทย ไม่ต้องการพวกกะเหรี่ยง
  • น้อง…ฝากซีร็อกซ์ เอาไปส่ง แล้วชงกาแฟมาให้พี่ที่โต๊ะด้วย
  • เธอเป็นผู้หญิง…จะทะเยอทะยานขึ้นเป็นผู้บริหารไปทำไม?

คำพูดและการกระทำที่ริดรอนศักยภาพคนเหล่านี้ คือส่วนหนึ่งของ Workplace Threatening การคุกคามรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในที่ทำงานหลายแห่งทั่วโลก 

แต่โลกศตวรรษที่ 21 กำลังโอบกอดสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกัน ความคิดที่ช่างล้าหลังเหล่านี้ต้องทยอยหมดไป…แล้วคุณในฐานะผู้นำองค์กรจะทำอย่างไรได้บ้าง?

การคุกคามรูปแบบต่างๆ?

ก่อนจะแก้ปัญหา ต้องเข้าใจปัญหาบ้างซะก่อน

การคุกคามในที่ทำงานเกิดขึ้นได้หลายเรื่องมากๆ อาทิเช่น

เพศ – มักเป็นผู้หญิงที่ถูกกระทำ

เชื้อชาติ – มักเป็นคนกลุ่มน้อย (Minority) ที่ถูกกระทำ

ความอาวุโส – มักเป็นผู้ใหญ่ทำกับเด็ก 

ตำแหน่ง – มักเป็นหัวหน้าทำกับลูกน้อง 

และมาพร้อมรูปแบบ “วิธีการ” คุกคามที่หลากหลาย ทั้งทางสายตา / หยอกล้อรูปร่าง / พูดโยงเรื่องเพศ / การแต๊ะอั๋ง / การสั่งงานที่ไม่เป็นธรรม ฯลฯ

เราต้องระบุให้ออกก่อนว่าเป็นการคุกคามเรื่องอะไร รูปแบบไหน ใครเป็นคนกระทำ-ถูกกระทำ เมื่อรู้สภาพการณ์แล้วจึงค่อยหาทางแก้ปัญหา

อย่างไรก็ตาม การคุกคามปัจจุบันมีหลายวิธีที่เข้าขั้น “ซ่อนเร้น” บางครั้งไม่ได้ประเจิดประเจ้อ เช่น หัวหน้าชอบสั่งงานลูกน้องช่วงเย็นก่อนเลิกงานอยู่บ่อยๆ โดยอ้างความเร่งด่วนหรือความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน ทำให้ลูกน้องต้องอยู่ดึกหรือเอางานกลับไปทำที่บ้านอยู่บ่อยๆ

หรือด้านเชื้อชาติ โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาหรือยุโรป HR บางคนถึงกับตีเนียนไม่ตอบรับ Resume ของคุณเลยเมื่อแค่เห็นว่า “ชื่อ” ของคุณดูเหมือนเป็นชาวต่างชาติ (ทั้งๆ ที่คุณอาจเกิดและโตที่ประเทศนั้น)

นอกจากนี้ บางครั้งการถูกคุกคามทางเพศก็เกิดจากความไม่ตั้งใจหรือความไม่รู้ (Ignorance) เช่น ชาวยุโรปบางประเทศมีวัฒนธรรมทักทายโดยการเอาแก้มชนกัน ซึ่งกระทำกันในเชิงธุรกิจด้วยในบางโอกาส จุดนี้พนักงานชาวเอเชียอาจรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องถูกชนแก้ม เป็นต้น

เมื่อมาดูผลสำรวจเรื่องนี้จากแหล่งต่างๆ

จากการสำรวจของสถาบันวิจัยในแต่ละประเทศเกี่ยวกับผู้ถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน พบว่า

ไทย พบ 10%

อังกฤษ 13%

อเมริกา 54%

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มาก เพราะยังมีเหยื่ออีกหลายคนที่ไม่กล้าเปิดเผยข้อมูล หรือยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังถูกคุกคามอยู่หรือไม่

Image Cr. bit.ly/3oaLvKv

จากผลสำรวจของ NPR ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พบว่า 77% ของพนักงานหญิงถูกคุกคามทางเพศด้วยวาจาในที่ทำงาน ขณะที่ 51% ถูกลูบคลำ(แต๊ะอั๋ง) โดยไม่ได้รับอนุญาต 

เหตุการณ์ลักษณะนี้ทำร้ายจิตใจจนกระทบการทำงานในที่สุดทั้งด้าน Productivity ความคิดสร้างสรรค์ การให้ความร่วมมือกับทีม หรือความจงรักภักดีต่อองค์กร

จิตวิทยาเบื้องหลัง 

ในแง่ชีววิทยา มนุษย์ก็คือลิงตัวหนึ่ง เราอยู่กันเป็นฝูงและมี “ระดับขั้น” (Hierarchy) ชัดเจน 

ตัวผู้ต้องการอำนาจเพื่อขึ้นเป็นจ่าฝูงและเพื่อดึงดูดตัวเมียในการผสมพันธุ์ ตัวเมียก็ต้องการผสมพันธุ์กับตัวผู้ที่อยู่แถวหน้า เพราะจ่าฝูงมีทรัพยากรมากกว่า มีโอกาสหาอาหารมาเลี้ยงดูลูกได้มากกว่า

ไม่ว่าจะเพศไหน-วัยไหน ล้วนต้อง “แข่งขัน” ซึ่งกันและกัน พยายามกีดกันคนที่อยู่ข้างล่างไม่ให้ขึ้นมาข้างบน  พยายามคุกคามข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่า มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน…สังคมมนุษย์เราอยู่กันแบบนี้มาตั้งแต่อดีตกาล

ถึงปัจจุบัน แม้สังคมเราเปลี่ยนไปแล้ว มีอารยธรรมที่ศิวิไลซ์ขึ้น มีกฎหมายคอยคุ้มครอง…เพียงแต่สัญชาตญาณ (Instinctive Behavior) การแข่งขันนี้ยังคงฝังอยู่ในตัวเราทุกคนไม่มากก็น้อย

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราจะเข้าใจว่าเมื่อใดก็ตามที่คนเราไม่สามารถข่มสัญชาตญาณในตัวไว้ได้ การคุกคามจะเริ่มออกฤทธิ์ ทางแก้คือหามาตรการกลไกบางอย่างขึ้นมาเพื่อไม่ให้สัญชาตญาณเป็นฝ่ายชนะ

วิธีรับมือในฐานะผู้นำ

หลายรัฐในอเมริกา ถึงกับมีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า องค์กรของคุณต้องมีสัดส่วนพนักงานที่เป็นเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยไม่ต่ำกว่ากี่ % เพื่อการปฏิบัติทางเชื้อชาติอย่างเท่าเทียม (Racial Indiscrimination) 

ในใบสมัครงาน หลายองค์กรถึงกับยกเลิกการระบุ “เชื้อชาติ-รูปถ่าย” ลงไป เพื่อลดโอกาสที่นายจ้างหรือ HR จะเกิดอคติขึ้นได้

รัฐบาลเยอรมันประกาศแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับการปกป้อง เพื่อแบ่งแยกงาน-ชีวิตส่วนตัวอย่างชัดเจน และลดโอกาสการถูกกลั่นแกล้งจากหัวหน้าที่สั่งงานลูกน้องอย่างไม่เป็นธรรม

ผู้นำสามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นแนวราบ (Flat Hierarchy) ลดระบบอาวุโสให้เหลือน้อย เช่น ระบุว่าลูกน้องวัย 20s ก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์ไอเดียของหัวหน้าวัย 50s ได้ถ้าเห็นว่ามีข้อบกพร่อง

นอกจากนี้ การเคลื่อนไหว #MeToo Movement ได้ส่งแรงกระเพื่อมและการตระหนักรู้ของปัญหาด้านการคุกคามทางเพศไปทั่วโลกธุรกิจ

ประเด็นเรื่องการคุกคามทางเพศ ก่อนรับเข้าทำงาน HR ควรชี้แจงประเด็นนี้แก่ผู้สมัครให้ชัดเจน ถึงข้อจำกัดการกระทำและ “บทลงโทษ” ที่จะตามมา ซึ่งต้องมีความรุนแรงและเด็ดขาด

การให้ความรู้เพื่อฉุกคิดก็สำคัญ เช่น ในด้านวาจาระหว่างพนักงานชาย-หญิง ให้คิดซะว่าอย่าพูดกับพนักงานผู้หญิง ด้วยคำพูดที่คุณ(ผู้ชาย) จะไม่มีวันพูดกับคุณแม่-พี่สาว-น้องสาวของคุณเด็ดขาด!

หนึ่งในบริษัทที่พยายามขจัดปัญหาด้านการคุกคามทางเพศอย่างจริงจังคือ Google ซึ่งเป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อหลายปีก่อน

เรื่องมีอยู่ว่า Andy Rubin พนักงานกิตติมศักดิ์ (ผู้คิดค้นระบบ Android) ได้ลาออกจาก Google อย่างเงียบๆ ในปี 2014 พร้อมเงินชดเชยก้อนโต เนื่องมาจากปัญหาการคุกคามทางเพศแก่พนักงานหญิงคนหนึ่ง

เรื่องดันไปถึงหู The New York Times ซึ่งได้เผยแพร่ข่าวนี้อีกทีหนึ่ง จนพนักงาน Google รู้กันไปทั่ว และไม่เห็นด้วยว่าทำไมถึงยังได้รับเงินชดเชยก้อนโตนั้น ทั้งๆ ที่มีพฤติกรรมเสื่อมเสีย จนพนักงาน Google ประสานงานกันหลายหมื่นคนออกมาประท้วงบริษัทในปี 2018 จน Sundar Pichai ซีอีโอของ Google รีบออกมาประกาศว่าจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดแก่พนักงานทุกระดับที่มีพฤติกรรมเสื่อมเสียเช่นนี้

ปี 2018 Google ปลดพนักงานเกือบ 50 คนอย่างเด็ดขาดที่มีการกระทำเข้าข่ายคุกคามทางเพศแก่เพื่อนร่วมงาน โดยจำนวนนี้กว่า 25% เป็นถึง “ผู้บริหารอาวุโส” เลยทีเดียว

และยังได้เปลี่ยนแปลงข้อกำหนดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดดทางเพศและบทลงโทษที่เฉียบขาดรุนแรงขึ้นอีกกว่า 80 ข้อ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่พนักงานของบริษัท และภาพลักษณ์ขององค์กรในระยะยาวที่ต้องดึงดูดคนเก่งทั่วโลกมาร่วมงาน 

เรื่องนี้สะท้อนว่า การเห็นถึงความสำคัญและความเด็ดขาดของผู้นำองค์กรคือด่านแรกที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่พนักงานได้ดีที่สุดนั่นเอง

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ และมีความสุขกับงานในทุกๆวัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

Original Image Cr. bit.ly/3o4SEMe

อ้างอิง