องค์กรวิจัยไม่แสวงผลกำไรอย่าง The Conference Board เปิดเผยผลสำรวจว่า คนทำงานชาวอเมริกันกว่า 50% ไม่พึงพอใจกับชีวิตการทำงานตรงหน้าของตัวเอง…แต่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ ซึ่งคาแรคเตอร์นี้ยังเกิดขึ้นในหมู่ประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ ที่มีการแข่งขันสูงด้วย
นี่คือภาวะแสนอึดอัดที่เรียกว่า “Quiet Desperation” หรือการใช้ชีวิต “สิ้นหวังจนตรอก” แบบ “เงียบๆ” โดยไม่บอกใคร (หรือบอกไม่ได้)
อะไรทำให้เกิด Quiet Desperation?
นัยหนึ่ง มาจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการเลือก “เส้นทางชีวิต” ในอดีตของคุณ (เช่น สาขาที่เรียน / งานแรกที่ทำ) ซึ่งส่งผลมาถึงปัจจุบัน ทำให้คุณ “ติดกับดัก” ออกไปไหนไม่ได้ เช่น ชีวิตปูทางมาด้านบริหารธุรกิจ ภายหลังพบว่าตัวเองอยากเป็น “แพทย์” แต่ชีวิตไม่สามารถกลับไปตั้งต้นใหม่ได้แล้ว
ทั้งนี้ ยังมาจากการตั้ง “ความคาดหวังที่สูงลิบ” (Colossal expectation) ต่อหน้าที่การงานของคุณเอง
- ตั้งเป้า เพิ่มยอดขาย 150% แต่ทำได้จริง 50%
- ตั้งเป้าอายุ 30 ต้องมีโน่นนี่นั่น แต่ถึงเวลาจริงมีไม่ครบ
Allan Pease และ Barbara Pease สองสามีภรรยาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากาย และนักเขียนหนังสือขายดีกว่า 10 เล่ม เช่น Why Men Don’t Listen and Women Can’t Read Maps เผยว่า “ผู้ชาย” มีโอกาสเกิด Quiet Desperation สูงกว่าผู้หญิงอย่างมีนัยยะสำคัญ
ซึ่งมีคำอธิบายจากกระบวนการวิวัฒนาการที่หล่อหลอมให้ผู้ชายมีแรงผลักดันในการขึ้นเป็น “ผู้นำจ่าฝูง”
รวมถึงในแง่วัฒนธรรมที่สังคมคาดหวังให้ผู้ชายเป็นคน “หาเงิน” เข้าบ้าน ต้องประสบความสำเร็จ หรือต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงกว่าฝ่ายหญิง สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้ผู้ชายทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีเงินเยอะๆ ประสบความสำเร็จเร็วๆ แม้งานที่ทำจะไม่ได้หลงรักก็ตาม
Quiet Desperation ยังถูกกระตุ้นให้เลวร้ายลงไปอีก(ทั่วโลก) เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19
- Layoff ครั้งใหญ่ ตกงาน-หางานใหม่ไม่ได้
- หรืองานที่ได้ไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องทำๆ ไปก่อน
- ปรับลดเงินเดือน แต่ งานหนักขึ้น
- WFH แต่ปรับตัวไม่ได้ ชีวิตทำงาน-ส่วนตัวมั่วไปหมด
ต้องไม่ลืมว่า Quiet Desperation ยังเกิดขึ้นได้กับกลุ่ม “คนเก่งชั้นนำ” (Top talents) ที่หน้าที่การงานดีอยู่แล้วได้เช่นกัน พวกเค้าอาจทำได้ดีเยี่ยมเป็นทุนเดิม แต่เบื่อหน่ายงานที่ทำ แต่ก็ไม่กล้าออกจาก Comfort Zone ไปหาสิ่งใหม่ๆ
บอกลา Quiet Desperation สำเร็จได้…แม้ไม่ได้รักงานที่ทำ
แม้ไม่ได้ชอบงานที่ทำอยู่ตอนนี้ แต่ก็ทำให้ผลงานออกมาดีได้ และไม่แน่…สุดท้ายคุณอาจเริ่มชอบงานที่ทำอยู่ก็ได้
คุณ Tina Seelig นักคิดสร้างนวัตกรรมจาก Stanford University และผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง What I Wish I Knew When I Was 20 เผยว่า ในทางอุดมคติ มีอยู่ “3 แก่น” ในการทำงานด้วยกันที่คุณต้องหาให้เจอ
- คุณชอบอะไร?
- คุณเก่งเชี่ยวชาญอะไร?
- ตลาดต้องการอะไร?
ถ้าค้นพบทั้ง 3 อย่างด้วยกัน โชคดีด้วย…ทุกวันคุณจะแทบไม่รู้สึกว่าทำงานเลย
อย่างไรก็ตาม แม้คุณไม่ได้ชื่นชอบงานที่ทำอยู่ แต่ค้นพบว่าคุณกลับทำมันได้ดี และ ตลาดต้องการ มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง…อย่างน้อย คุณก็สามารถหาเลี้ยงชีพได้ เติบโตในหน้าที่การงาน ได้เรียนรู้พัฒนาตัวเองใหม่ๆ จึงไม่มีอะไรต้องเสียใจผิดหวังเลย
Dr. Robert Anthony ศาสตราจารย์ด้านบริหารธุรกิจจาก Harvard Business School และผู้เขียนหนังสือ The Ultimate secrets of Total Self-Confidence เผยว่า
ไม่แปลกที่ความภาคภูมิใจของคนเราจะตกต่ำลง เพราะเรามัก “ผูก” คุณค่าตัวตน VS. อาชีพการงาน
- ถ้าการงานไปได้ เราจะภาคภูมิใจ มีความสุข
- ถ้าการงานไม่ดี เราจะท้อแท้สิ้นหวัง ไม่มีความสุข
ซึ่งอันที่จริงแล้ว 2 สิ่งนี้ควรจะเป็น “คนละเรื่อง” กัน แก่นสำคัญที่สุดคือ “ตัวตนของคุณเอง” คุณควรรู้สึกโชคดีและภาคภูมิใจในการดำเนินต่อสู้กับชีวิต แม้ว่าสถานะการงานจะย่ำแย่ก็ตาม มนุษย์เรามี Quality อีกหลายอย่างที่ควรให้คุณค่านอกเหนือจากแค่อาชีพการงาน
คุณลุง Yeong-su Oh นักแสดงอาวุโสคนเดียวจากซีรี่ส์ Squid Game ที่สร้างกระแส Soft Culture ไปทั่วโลก เผยว่า สังคมที่แข่งขันสูงอย่างเกาหลีมักให้คุณค่าเฉพาะกับที่ 1 โดยเพิกเฉยต่อที่ 2-3-4 ราวกับว่าพวกเค้าไม่มีตัวตน
สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะอยู่อันดับที่เท่าไรก็ตาม มันอาจไม่สำคัญด้วยซ้ำถ้าคุณได้ “สู้เต็มที่” แล้ว ความพยายามและเจตนาดีควรถูกบรรจุอยู่ในการพิจารณาด้วย…ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์อย่างเดียว
Amy Wrzesniewski นักจิตวิทยาจาก Yale University แนะนำวิธี “Job Reframing” ตีกรอบทัศนคติที่มีต่ออาชีพของคุณใหม่ เพื่อหาความหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เช่น
- เป็นแค่แม่บ้านทำความสะอาดห้องน้ำ 🡺 ทูตต้อนรับแขกนานาชาติจากทั่วโลก (ผ่านการสร้างความประทับใจด้วยห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยม)
หรือแม้แต่ผู้บริหารในองค์กรใหญ่บางท่าน ก็ยอมรับว่าตัวเอง “ไม่ได้มี Passion” ต่อหน้าที่ความรับผิดชอบที่ทำอยู่ตอนนี้ตั้งแต่แรกหรอก คือจุดที่ยืนอยู่ ณ ปัจจุบันไม่ได้มาจากการวางแผนเป๊ะๆ บางทีก็จับพลัดจับผลูมาได้ โชคดีกว่าคนอื่นบ้าง จังหวะชีวิตเหมาะเจาะบ้าง
แต่แม้จะไม่ได้มี Passion เต็มเปี่ยมชนิด “ฝันมาแต่เด็ก” แต่ในฐานะผู้นำและความรับผิดชอบที่มีอยู่ในมือ ก็ต้องแสดงความเป็น “มืออาชีพ” ทำงานให้ดีที่สุดพอ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
ส่วนงานที่รัก-สิ่งที่ชอบจริงๆ ก็ “ไปหาเอานอกงาน” แทน ซึ่งคุณก็ต้องรู้จักบริหารเวลาให้ดี บาลานซ์สิ่งต่างๆ ให้ลงตัว
แต่ทั้งนี้ ระหว่างเส้นทางมืออาชีพที่เดินไปสู่เป้าหมาย ส่วนใหญ่มักหล่อหลอมให้คุณเริ่มที่จะ “หลงรัก” งานที่ทำอยู่ขึ้นมาเอง
.
ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/
Original Image Cr. bit.ly/3ncMz0g
อ้างอิง
- https://www.artofmanliness.com/character/advice/really-avoid-living-life-quiet-desperation/
- https://edition.cnn.com/2021/09/06/health/love-job-you-hate-wisdom-project-wellness/index.html
- https://positivepsychologynews.com/news/kathryn-britton/20070607274#:~:text=For%20example%2C%20a%20group%20complains,%2C%20new%20ideas%2C%20and%20optimism.
- https://www.forbes.com/sites/forbescoachescouncil/2021/02/22/want-to-move-forward-in-your-career-reframe-your-attitude-towards-no/?sh=57b237aa142e