- อเมริกา – วิจารณ์ตรงไปตรงมา เน้นความคิดสร้างสรรค์
- ญี่ปุ่น – พิธีรีตอง พิถีพิถัน เน้นทีมเวิร์ค
- เยอรมัน – มาตรฐานสูง เป็นตัวของตัวเอง เน้นประสิทธิภาพ
แต่ละชาติล้วนมี “สไตล์การทำงาน” แตกต่างกันแทบจะอยู่คนละขั้ว แต่ทำไมกลับประสบความสำเร็จในแบบตัวเองได้?
ความคิดสร้างสรรค์ เน้นนวัตกรรมแบบฉบับ “อเมริกัน”
ชาวอเมริกันมีพื้นฐานสูงลิบด้านสิทธิ “เสรีภาพ” (Liberty) การเปิดโอกาสให้ผู้คนได้คิดในสิ่งที่แตกต่าง ท้าทายชุดความคิดเดิมๆ ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน ชื่นชอบการแข่งขัน ชาวอเมริกันจึงมีความ Individualism สูงในการทำงาน เป็นตัวของตัวเอง กล้าวิพากษ์วิจารณ์แบบเปิดเผย
สหรัฐอเมริกายังเป็นชาติที่โปรโมทความเป็นตลาดเสรีเต็มตัว (Free-Market Economy) ไปยังชาติต่างๆ ให้เปิดประเทศเพื่อการค้าขาย
นี่คือพื้นฐานความคิดในวงการ “Coaching” ที่สร้างอิทธิพลไปทั่วโลกในวงการธุรกิจ (เช่น ผ่านหนังสือแปล)
อุปนิสัยเหล่านี้ สอดคล้องอย่างยิ่งในแวดวง “เทคโนโลยี” ที่ขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์และ “นวัตกรรมแบบก้าวกระโดด” ซึ่งอเมริกาก็เป็นเจ้าโลกในเรื่องนี้มาช้านาน
ใส่ใจรายละเอียด มีความพิธีรีตอง และเน้นทีมเวิร์คในแบบ “ญี่ปุ่น”
พื้นเพคนญี่ปุ่นชื่นชอบใน “ระเบียบขั้นตอน” ที่มีความพิธีรีตองซึ่งเป็นผลมาจากการปกครองในอดีต สะท้อนมาสู่การทำงานปัจจุบันที่มัก “ทำตามคู่มือ” อย่างเคร่งครัด 1-2-3-4
ตัวอย่างคือ พนักงานใหม่ Uniqlo ทั่วโลกจะได้รับ “คู่มือการทำงาน” ที่บอกรายละเอียดการทำงานในหน้าร้านทุกอย่าง เช่น วิธีพับเสื้อผ้า / วิธีทำความสะอาดชั้นวาง / วิธีรับของจากลูกค้า
อุปนิสัยเหล่านี้ ยังเหมาะสมอย่างยิ่งโดยเฉพาะวงการ “อุตสาหกรรมรถยนต์” ที่ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเดียวกัน จะแลกเปลี่ยนข้อมูลและลงทุนร่วมกัน เน้นประสานงานกัน (Coordination) อาศัยนวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งญี่ปุ่นก้าวขึ้นมาแซงหน้าอเมริกาในช่วงยุคทศวรรษ 1990s
แม้แต่ตำราด้านบริหารธุรกิจในวงการรถยนต์นี้ ฝรั่งยังต้องศึกษาของญี่ปุ่น เช่น
- ระบบ Just-In-Time ในโรงงาน
- การตั้งคำถาม 5 Whys เพื่อไปถึงต้นตอ
- Genchi Genbutsu ไปดูปัญหาถึงหน้างานที่โรงงาน
นอกจากนี้ ยังเป็นชนชาติที่มีชื่อเสียงเรื่องการ “ใส่ใจรายละเอียด” มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม เรื่องนี้ได้อิทธิพลจากปรัชญาแนวคิด “ความพิเศษในความเรียบง่าย” มาตั้งแต่อดีต
เราจึงได้เห็นสิ่งละอันพันละน้อยจากสินค้า-บริการญี่ปุ่นที่สร้างความประทับใจ
- ฝาถ้วยโยเกิร์ตที่เปิดแล้วเนื้อโยเกิร์ตไม่ติด
- พนักงานบริการจะยืนส่งแขกจนลับสายตา ถ้าแขกหันกลับมามองจะยังเห็นพวกเค้ายืนส่งอยู่
ส่วนผสมของตะวันตก-ตะวันออก เติบโตก้าวกระโดดแบบ “เกาหลีใต้”
Ha-Joon Chang นักเศรษฐศาสตร์หัวก้าวหน้าจาก University of Cambridge ผู้คว่ำหวอดระบบทุนนิยมแบบเกาหลี เผยว่า เกาหลีเป็นชาติที่ถ้าคิดจะ “เลียนแบบ” ใครแล้ว มักจะ “สุดโต่ง” ไปไกลเกินเลยจากต้นตำรับ ดังที่เป็นมาตลอดประวัติศาสตร์
- เลียนแบบญี่ปุ่น – ดำเนินนโยบายแบบ Protectionism กีดกันต่างชาติ และใช้รัฐเข้าแทรกแซงเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมบางประเภทเป็นพิเศษจนเกิดกลุ่ม “Chaebol” เช่น Samsung / LG / Hyundai ที่เป็นหัวหอกนำขับเคลื่อน GDP ของประเทศ
- เลียนแบบอเมริกา – เมื่ออุตสาหกรรมภายในประเทศแข็งแกร่งพร้อมที่จะออกสู่ตลาดโลกแล้ว ก็เปิดประเทศแบบ “ตลาดเสรี” เต็มตัว นี่คือช่วงยุคปัจจุบันที่เราได้เห็น Samsung ผงาดขึ้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก และได้เห็น K-Pop แผ่ขยายวัฒนธรรมไปทั่วโลกเช่นกัน
นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ชาติเกาหลีใต้ถูกกระทำแทรกแซงจากชาติมหาอำนาจมาโดยตลอด ตั้งแต่จีน / ญี่ปุ่น / อเมริกา จึงเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้คนมีความเป็น “ชาตินิยม” และอัตราการ “แข่งขัน” สูงมากเพื่อเอาชนะ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
- สิงคโปร์ใช้เวลา 38 ปี ขยับจากประเทศรายได้ปานกลางสู่รายได้สูง
- เกาหลีใต้ใช้เวลา 26 ปี ขยับจากประเทศรายได้ปานกลางสู่รายได้สูง
เกาหลีใต้คือหนึ่งในประเทศที่ใช้เวลาสั้นที่สุดในโลก เพื่อเปลี่ยนสถานะสู่ชาติพัฒนาแล้ว
ไม่แปลกที่คนทำงานเกาหลีใต้จะมีความเครียดและการแข่งขันสูงลิบ (ในเวลาเพียง 40 ปี รายได้ต่อหัวของชาวเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้นถึง 14 เท่า)
อยู่แบบสมดุล ระหว่างการทำงาน-ใช้ชีวิตสไตล์ “คอสตาริกา”
นี่คือประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์แห่งลาตินอเมริกา” ชาวคอสตาริกามีการแบ่ง Work-Life Balance ที่เข้มงวดและแทบจะเป็นอุปนิสัยประจำชาติไปแล้ว ใครที่บ้างานหนักเกิน กลับมีภาพลักษณ์แง่ลบ เพราะสถาบันครอบครัวที่นี่ยังแข็งแกร่ง อยู่กันแบบรวมญาติมิตร
ชาวคอสตาริกายังมีอุปนิสัยเป็นมิตร เป็นกลางทางการทูต ดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาได้ง่าย เรื่องนี้อาจสืบเนื่องมาจากประเทศดำเนินนโยบายแบบ “ไม่มีกองทัพ” (มีแค่ตำรวจ) และใช้การทูตเพื่อป้องกันประเทศแทน เช่น ใช้กลไกกฎหมายระหว่างประเทศ ร่วมเซ็นสัญญาลงนามสันติภาพกับชาติต่างๆ ใครที่คิดจะโจมตีคอสตาริกา ภาพพจน์เสียหายในเวทีโลกทันที (และเป็นการเปิดศึกกับชาติพันธมิตรไปในตัว…ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย)
ประเทศเล็กๆ นี้ยังโฟกัสที่การ “อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ” เกือบ 30% ของพื้นที่ประเทศเป็นเขตอนุรักษ์ และประเทศใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในการผลิตไฟฟ้า บ่งบอกถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและรักษาสิ่งแวดล้อม
ปี 2019 UN ได้ออกรายงาน World Happiness Report จัดอันดับประเทศทั่วโลกจาก “ความสุข” โดยคอสตาริกาอยู่อันดับที่ 12 เลยทีเดียว
คอสตาริกาถือเป็นประเทศที่สงบสุข การเมืองมีเสถียรภาพ ประชาธิปไตยโปร่งใส ปัญหาคอร์รัปชันต่ำที่สุดในลาตินอเมริกา และยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้คน “อายุยืน” มากที่สุดในโลก คือสูงถึง 80.3 ปีเลยทีเดียว
แต่ละชาติล้วนมีบรรยากาศ “สไตล์การทำงาน” ที่แตกต่างกัน แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในแบบตัวเองได้ เพราะถ้ามันสอดคล้องกับ “บริบท” ของประเทศนั้นๆ ทั้งระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ / นโยบายระดับชาติ / ประวัติศาสตร์ / หรือวัฒนธรรมของผู้คน
.
ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/
Original Image Cr. bit.ly/3aWuEoP
อ้างอิง
- หนังสือ เศรษฐกิจสามสี – เศรษฐกิจแห่งอนาคต โดย รศ. ดร. วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร
- https://www.britannica.com/topic/zaibatsu
- https://www.britannica.com/topic/chaebol
- https://www.trtworld.com/opinion/asia-pacific-trade-wars-how-japan-and-korea-have-embraced-protectionism-30135
- https://www.japantimes.co.jp/community/2019/01/30/how-tos/thinking-working-japan-good-know-youre/
- https://spanishpuravida.com/why-costa-rica-has-no-army/