ทำไมการ “เขียน” มันออกมา ถึงช่วยทุกเรื่องในการทำงาน?

ทำไมการ “เขียน” มันออกมา ถึงช่วยทุกเรื่องในการทำงาน?
  • ตื่นมาเขียน…ก่อนไปทำอย่างอื่นต่อ
  • เขียนไปเรื่อย…ปล่อยใจไปกับมัน
  • ยิ่งมีความลับ…ยิ่งต้องเขียนมันออกมา

ทั้งหมดนี้คือเทคนิคการ “เขียน” ในสไตล์ที่แตกต่างกัน แต่ย้อนกลับมาช่วยอัพเกรดการทำงานอย่างเหลือเชื่อ และไม่แน่นะ พอรู้ตัวอีกที…ชีวิตคุณก็เปลี่ยนก้าวหน้าไปมากบ้าง

ทำไมการเขียนถึงช่วยเราได้มากขนาดนี้

แม้การเขียนจะเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าทำได้ง่ายดายราวกับไม่ต้องใช้สมองคิดเลย แต่กระบวนการทำงานของสมองที่แท้จริงคือ ในแต่ละวินาทีที่เราเขียน สมองต้องโฟกัส อยู่กับปัจจุบัน(ถ้าหลุดเมื่อไร ก็คือเขียนผิด)

การเขียนยังเป็นการ “จบครบลูป” ของ Input-Output กล่าวคือ อ่าน-เขียน จะสัมพันธ์กันโดยตรง

  • Input = อ่าน
  • Output = เขียน
A pen on a piece of paper

Description automatically generated

ยิ่งเราอ่านเยอะ ยิ่งมีแนวโน้มเขียนเก่ง และการเขียนจะเป็นการนำ Input จากการอ่านมาย่อยตกผลึกเป็นงานเขียน ในกระบวนการนี้ สมองเราจึงได้ “ทบทวน” เนื้อหาที่ได้รับรู้ไป(โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ) ซึ่งจะยิ่งสร้างการจดจำและความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้นไปอีก

แล้วมีเทคนิคการเขียนอะไรบ้างที่ช่วยการทำงานและชีวิตของเรา?

Morning Pages

คือการตื่นขึ้นมาแล้วสิ่งแรกที่ทำคือการ “เขียน” ด้วยเวลาสั้นๆ แค่ราว 5-10 นาที โดยจะเป็นบทความสั้นๆ / เป้าหมายของวันนี้ / สิ่งที่อยู่ในใจก็ได้ทั้งนั้น

เป็นเทคนิค “เอาชนะแรงต้าน” ยามเช้าตรู่ที่เรามักขี้เกียจทำอะไร เป็นการชนะใจตัวเองเล็กๆ เหมือนเป็นความสำเร็จแรกของวันก่อนขึ้นไประดับที่ใหญ่ขึ้น เพราะเราใช้ Morning Pages เพื่อเป็น “บันได” สู่กิจวัตรดีๆ อย่างอื่นต่างหาก เมื่อเขียนเสร็จ คุณอาจไปกำลังกายต่อ หรืออ่านหนังสือ หรือคิดวิเคราะห์หาไอเดียใหม่ๆ 

Calendar

Description automatically generated with medium confidence

Morning Pages ยังเป็นวิธีรวบรวมไอเดียชั้นเลิศ เพราะเช้าๆ หลังตื่นนอน หัวเรามักแล่น คิดอะไรก็คิดออก 

Morning Pages แนะนำให้เขียนด้วย “มือ” เพราะเป็นการฝึกกล้ามเนื้อและเส้นประสาทได้โดยตรงกว่าการพิมพ์ เรื่องนี้มีผลวิจัยสนับสนุนที่สแกนสมองระหว่างคนที่กำลังเขียนด้วย มือ vs. พิมพ์ พบว่าคนที่เขียนด้วยมือ สมองมีการทำงานที่มากกว่า กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้ดีกว่า เพราะมันไปกระตุ้นระบบตื่นตัวในร่างกายของเราที่เรียกว่า Reticular Activating System (RAS)

การเขียนด้วยมือยังเป็นวิธีที่ J.K. Rowling ใช้เมื่อเขียน Harry Potter

เขียนหลังเลิกงาน

เป็นเทคนิค “ทบทวน” ผลลัพธ์การทำงานแบบวันต่อวัน ซึ่งมักเป็นการ “เดินทางภายในใจ” ของตัวเราเอง 

เปิดโอกาสให้คุณได้ขบคิด ได้ค้นหา ได้ตกผลึก คุณอาจพบว่าตัวเอง…

  • คิดผิด…เมื่อได้เขียน
  • ความคิดช่างตื้นเขิน…เมื่อได้เขียน
  • ตรรกะบิดเบี้ยว…เมื่อได้เขียน

แต่เทคนิคนี้ไม่จำกัดแค่เรื่องงานอย่างเดียว แต่รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์กับคนในออฟฟิศ ร้านป้าข้าวแกงหน้าออฟฟิศ หรือมื้อเที่ยงที่กินไปอร่อยไหม เป็นการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นแบบภาพรวมก็ได้

Freewriting

ตามชื่อเลย คือเขียนอะไรก็ได้ออกมาตอนนั้นแบบฟรีสไตล์ คิดอะไรออก ก็เขียนออกมาแบบนั้นเลย โดยจะเป็นคีเวิร์ดคำเดี่ยวๆ หรือประโยคสั้นๆ ก็ได้ทั้งนั้น

โดยช่วงแรกมักเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานหรือสิ่งที่อยู่่ตรงหน้าเรา ณ ตอนนั้น ก่อนจะสุ่มขยายไปเรื่องอื่นโดยไม่มีแพทเทิร์นเลยก็ว่าได้

  • “งานเข้า ลูกค้าแคนเซิล ยอดขายหาย”
  • “วันนี้หัวหน้ากลับเร็ว บรรยากาศออฟฟิศเลยสบายขึ้น”
  • “ฝนตกหนัก น้ำท่วม เข้าบ้านลำบาก ไปนัดสาย”
  • “เที่ยวญี่ปุ่น กินซอฟต์ครีมฮอกไกโด ซูชิอร่อยๆ”
  • “มีคาเฟ่เปิดใหม่แถวออฟฟิศ มาร์เก็ตติ้งครีเอทีฟมาก”
A person writing on a book

Description automatically generated with medium confidence

ประโยชน์ของเทคนิคนี้ดูจะเป็นการ “ระบาย” ความเครียดหรือสิ่งที่อยู่ในใจและปล่อยมันออกมา และยังเป็นการมีสติ “รู้ใจตัวเอง” ด้วยว่าแท้จริงแล้วเรามีแนวโน้มคิดเรื่องอะไรบ้างกันแน่

เขียนเลียนแบบสไตล์คนนั้น

นี่คือเทคนิคสร้าง Empathy หรือความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นว่าเค้าคิดและรู้สึกยังไง เพราะผลลัพธ์การเขียนก็สะท้อนตัวตนและความคิดของคนเขียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเป็นการกระโดดออกจาก Comfort Zone ของตัวเองได้เป็นอย่างดี

เช่น ถ้าเจอบทความธุรกิจเชิงลึก คุณอาจลองท้าทายตัวเองด้วยการเลียนแบบสไตล์การเขียนบทความนั้นมาทั้งดุ้น ระหว่างทางคุณอาจค้นพบว่า เป็นการบีบบังคับตัวเองให้…

  • ขัดเกลาความคิดตัวเองให้เฉียบคมขึ้น
  • ตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ มากขึ้น
  • หาตัวเลขข้อมูลที่นาเชื่อถือมากขึ้น

ในทางกลับกัน ถ้าคุณเจอบทความครีเอทีฟที่ตัวหนังสือน้อยๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจ การเลียนแบบสไตล์การเขียนนี้ อาจบังคับให้คุณต้องเฟ้นหาความคิดสร้างสรรค์ในตัวเองหรือการสรุปย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่ายในประโยคเดียว ซึ่งเป็นทักษะที่ต่างจากบทความก่อนหน้า

Proactive Writing

หรือการเขียนไปด้วยระหว่าง…คิด-อ่าน-ทำ ซึ่งทำให้เราจดจำเรื่องนั้นได้ดีกว่า เช่น อ่านหนังสือไปด้วยแต่จดลงหน้าหนังสือไปเลยหรือจดใส่กระดาษ (หรืออย่างน้อยพิมพ์ในมือถือก็ยังดี)

Proactive Writing ประยุกต์ใช้ได้เยอะมากๆ คุณอาจกำลังเดินเล่นแล้วจู่ๆ เกิดไอเดียแว่บขึ้นมา ก็ทำการจดหรือพิมพ์โน๊ตลงมือถือ หรือระหว่างทำงานอะไรอยู่แล้วจดเรื่องราวสำคัญของงานนั้นๆ ณ ตอนนั้น เช่น ผล Focus Group จากลูกค้าไม่เป็นไปตามคาด

Unsent Letter

บางครั้งชีวิตของเราเจอเรื่องที่ยากลำบาก และยากยิ่งกว่าเมื่อเราไม่สามารถเล่าระบายให้ใครฟังได้ (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม) มันคือความกลัว ความบกพร่อง มันคือ “ปม” ที่ฝังอยู่ลึกๆ ในใจคุณ และมีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่รู้

Unsent Letter คือทางออก นี่คือวิธี “ระบายความในใจ” ที่ดีที่สุด เป็นส่วนตัวที่สุด ลับสุดยอดที่สุด เพราะคนเดียวในโลกที่ได้อ่านได้รับรู้คือตัวคุณเอง

Unsent Letter มีความคล้ายกับ “ไดอารี่ของ Anne Frank” ที่โด่งดังไปทั่วโลกมาถึงปัจจุบัน เพราะบอกเล่าความโศกเศร้า / โกรธ / คับแค้นใจ / เสียใจ…ทุกเรื่องของความทุกข์ระหว่างหลบซ่อนตัวในบ้านช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เธอใช้การเขียนไดอารี่นี้เป็นวิธี “เยียวยาจิตใจ” โดยไม่มีใครรู้เลยในตอนนั้น เพราะโลกรับรู้ก็หลังจากที่เธอได้เสียชีวิตไปแล้ว (หลังมีการค้นพบไดอารี่เล่มนี้)

ในกรณีที่คุณอยากเก็บเป็นความลับ เมื่อทำ Unsent Letter เสร็จ ต้องอย่าลืม “ทำลายหลักฐาน” ทิ้งซะ ฉีกขยี้กระดาษจนประกอบกันไม่ได้อีกหรือนำเข้าเครื่องทำลายกระดาษ ถ้าพิมพ์ ก็ต้องลบทุกบรรทัดและทำให้ย้อนหลังกลับมาใหม่ไม่ได้อีก

เราจะเห็นว่าการเขียนมีหลายรูปแบบ แต่สิ่งสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ประสิทธิภาพการเขียน แต่เป็นวินัยเขียนอย่างสม่ำเสมอจนตกผลึกกลายเป็น นิสัยรักการเขียน (Writing habit) ในที่สุด

เมื่อทำจนติดเป็นนิสัยแล้ว เราจะทำมันได้ตลอดไป…

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/

อ้างอิง