เชื่อว่า…พวกเราหลายคนน่าจะมีนิสัย “รักการอ่าน” เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ว่างหน่อยเป็นไม่ได้ต้องหยิบหนังสือ(ที่ติดตัวตลอดเวลา)ขึ้นมาอ่านซักบรรทัดก็ยังดี
แต่ก็ตามมาด้วย Pain Point สุดคลาสสิคอย่าง “อ่านเท่าไรก็จำไม่ได้” อ่านไปเท่าไรก็คืนไปเยอะเมื่ออ่านเสร็จ เรียกได้ว่า…อ่าน 100 จำกลับมาใช้จริงได้แค่ 10
มันน่าจะมีเทคนิคการอ่านหนังสือที่เวิร์คกว่านี้? วันนี้เราขอแนะนำให้รู้จักกับเทคนิคการอ่านหนังสือ ที่รู้แล้วก็ได้แต่พรรณนาว่า…น่าจะอ่านหนังสือแบบนี้ตั้งแต่ก่อนอายุ 20!
อ่านแล้วสรุปทันที
นี่เป็นวิธีที่สอดคล้องกับกระบวนการทำงานของสมอง เรามักคิดว่าวิธี “รับและจดจำ” ข้อมูลที่ดีที่สุดคือการ “เอาแต่รับ” เข้ามาอย่างเดียว(ตรงไปตรงมาดี) แต่นี่เป็น Myth ความเข้าใจที่ผิด เพราะการ “ปล่อยออกไป” หลังจากรับเข้ามา สมองกลับทำให้จำข้อมูลได้ดีกว่าเดิม!
กล่าวคือ การจำของสมองมนุษย์ อยู่ที่ว่าเรา “ใช้” มันมากน้อยแค่ไหนด้วย การรับและคิดวิเคราะห์ตกผลึกออกไปเป็นการเพิ่มความถี่ในเรื่องนี้โดยตรง โดยวิธีการจะเป็นทั้งจดโน๊ตลงเครื่องมือของตัวเอง / หรือเขียนใส่ลงหนังสือเลยก็ได้ / หรือแม้แต่นึกคิดในหัวพูดในใจก็ได้ทั้งนั้น
นี่ยังเป็นวิธีที่ Bill Gates ใช้อ่านหนังสือประจำ โดยเขาจะ “สรุป” ใจความสำคัญของเนื้อหาหลังจากอ่านจบทุกครั้งทุกเล่ม! อย่างน้อยเอาให้ได้ 20% กระชับและครอบคลุมทุกประเด็นในหนังสือ นอกจากนี้เขาจะ “คิดตาม” เนื้อหาที่อ่าน บางทีเห็นด้วย-บางทีก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งเพิ่มทักษะ Critical thinking ไปในตัว
เทคนิค Primary & Recency Effect
กล่าวคือ ข้อมูล “ชุดแรกสุด-หลังสุด” (Primary & Recency) จะฝังในหัวและถูกจดจำได้มากกว่าข้อมูลที่อยู่ตรงกลาง
เทคนิคจิตวิทยานี้ถูกนำมาใช้กับการอ่านหนังสือได้เช่นกัน โดยให้ “แบ่งย่อย-ซอยถี่” เพื่อสร้าง Primary & Recency Effect ให้มากขึ้น จากเดิม สมมติว่า…อ่านหนังสือติดต่อกันนาน 3 ชั่วโมง เราจะมี Primary Effect แค่ 1 ครั้ง และ Recency Effect แค่ 1 ครั้ง
แต่ถ้าอ่านแล้ว “พักเป็นระยะ” จะมี Primary & Recency Effect อย่างละ 3 ครั้ง เช่น
- 1 ชั่วโมงแรก: เริ่มอ่าน เกิด 1st Primary Effect จำตอนแรกได้ดี 🡺 หยุดพัก เกิด 1st Recency Effect จำตอนจบได้ดี
- 1 ชั่วโมงที่สอง: เริ่มอ่าน เกิด 2nd Primary Effect จำตอนแรกได้ดี 🡺หยุดพัก เกิด 2nd Recency Effect จำตอนจบได้ดี
- 1 ชั่วโมงที่สาม: เริ่มอ่าน เกิด 3rd Primary Effect จำตอนแรกได้ดี 🡺หยุดพัก เกิด 3rd Recency Effect จำตอนจบได้ดี
ถ้ากลัวว่า เวลาพักที่เพิ่มเข้ามาจะทำให้ใช้เวลาเกิน 3 ชั่วโมง เราก็อาจปรับเป็นอ่าน 40 นาที พัก 20 นาที วนไป 3 รอบ ก็จะไม่เกิน 3 ชั่วโมงแล้ว!
เปิดตี้อ่านกับเพื่อน!
อย่าผจญภัยผ่านตัวอักษรเพียงลำพังเลย แต่ถ้ามีโอกาส ลองเริ่มอ่านหนังสือซักเล่มกับเพื่อนๆ ไม่ต้องเยอะก็ได้ แค่ “1 คน” ก็พอแล้ว อย่างน้อยอ่านเสร็จหรือคืบหน้าถึงไหน ก็มาแชร์และดีเบตไอเดียกันได้ นอกจากจะได้รื้อฟื้นความจำเนื้อหาและฝึกทักษะคิดวิเคราะห์แล้ว ยังได้ “ความสัมพันธ์” มีเพื่อนคู่คิด-มิตรคู่อ่านเพิ่มมาอีก 1
นี่ยังเป็นเทคนิคที่ Oprah Winfrey ใช้ประจำและประกาศออกสื่อ เธอจะอ่านหนังสือกับเพื่อนๆ โดยเริ่มในเวลาไล่เลี่ยกัน-เล่มเดียวกัน ก่อนจะกลับมาพูดคุยแชร์ไอเดียกัน ซึ่งได้มุมมองใหม่ๆ จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนฝูง
กลับมาอ่านซ้ำ
คัดสรรเฉพาะจุดที่สนใจโดนใจคุณจริงๆ เราต้องยอมรับว่าหนังสือบางเล่มควรค่าแก่การกลับมาอ่านรอบที่ 2-3-4 เสมอ (หรืออ่านซ้ำทุกปีก็ได้)
- ประวัติศาสตร์: Sapiens
- จิตวิทยาการเงิน Psychology of Money
- สุขภาพและความเยาว์วัย Lifespan
อ่านแล้วทดลองนำไปใช้จริง
อย่าเป็นพวกประเภทอยากรู้ไปเรื่อย แต่ไม่ได้ตั้งใจเอามาใช้จริง ลองตั้งเป้าหมาย อ่าน 1 ชม. เมื่อจบเสร็จ ให้ลองนำสิ่งที่อ่านมาใช้ดู
- ถ้าเป็นทัศนคติก็ลองขบคิดตกผลึกเงียบๆ คนเดียว เช่น การมองปัญหาในมุมกลับที่อาจนำไปสู่ทางออก
- ถ้าเป็นการลงทุน ให้ลองค้นหาข้อมูลและวางแผนการเงินทันที เช่น จัดพอร์ตการลงทุนแบบนักลงทุนที่ Wall Steet
- ถ้าเป็นสุขภาพ ให้ลองทำตามคำแนะนำในหนังสือทันที เช่น เคล็ดลับหายใจอย่างไรเพื่อลดความเครียด
สร้างบรรยากาศให้เหมือนในหนังสือ
อีกเคล็ดลับที่สมองจะจดจำทั้งเนื้อหาและอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างดีเลิศ ส่วนใหญ่เรามักมี “สถานที่ประจำ” ในการนั่งอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะห้องนอนที่บ้าน / ร้านหนังสือ / หรือร้านกาแฟ
แต่คราวนี้ลองเปลี่ยนบรรยากาศดู และไม่ใช่แค่เปลี่ยนสถานที่เฉยๆ แต่เป็นการผูกโยงบรรยากาศสภาพแวดล้อมให้ “เข้า” กับเนื้อหาในหนังสือ เช่น
- ถ้าเป็นนิยายแนวเวทมนตร์ ลองหาร้านที่ตกแต่งคลาสสิคขลังๆ แล้วใช้เวลาอ่านอยู่
- ถ้าเป็นแนวข้อมูลเชิงลึกคิดวิเคราะห์ ลองหาร้านในออฟฟิศยุคใหม่สุดโมเดิร์นดู
- ถ้าเป็นแนวสุขภาพหรือจิตวิทยาสนุกๆ ลองหาร้านตกแต่งแบบเรียบง่าย ดูสะอาดตา หรือแสงไฟสีนวลๆ ดู
ปล่อยใจไปกับการอ่าน
โฟกัสและมี “ความสุข” กับการอ่าน ณ โมเมนต์นั้นๆ เทคนิคนี้อาจฟังดูย้อนแย้งกับที่ผ่านๆ มา แต่กลับเป็นวิธีเข้าสู่ Flow State ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะไม่กดดัน ไม่มีเป้าหมายต้องไปให้ถึง สมองจะมีสมาธิดีเลิศและพร้อมจดจำรายละเอียดต่างๆ ได้มากกว่าปกติ
ผลวิจัยยังเผยว่า ผลข้างเคียงจากการกระทำแบบนี้ยังส่งผลให้ร่างกายแก่ช้าลงด้วย เพราะจิตกายใจเราอยู่กับปัจจุบันขณะ อัตราเต้นหัวใจช้าลง สมองได้โฟกัสตรงหน้าไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย
บางทีการปล่อยใจไปกับการอ่าน ขอแค่มีความสุขบนหน้าหนังสือ ณ จุดที่เป็นอยู่ตอนนั้นก็พอแล้ว…
.
ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ…จะได้มีความสุขในการทำงานทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/
อ้างอิง
- https://medium.com/personal-growth-lab/5-reading-habits-to-learn-300-more-from-every-book-you-read-a333dfac6167
- https://alifeofproductivity.com/ways-to-read-more-productively/#:~:text=Takeaway%3A%205%20ways%20to%20read,you’re%20reading%20on%20index
- https://www.verywellmind.com/understanding-the-primacy-effect-4685243